Health & Beauty
ARINCARE ปิดดีล Series B มูลค่า $4M ผนึกกลุ่ม รพ.จุฬารัตน์ และ PTG ต่อยอดระบบนิเวศ Health Tech ปักหมุดเดินเครื่องตั้งเป้า IPO ปี 69
ARINCARE ปิดดีล Series B มูลค่า $4M ผนึกกลุ่ม รพ.จุฬารัตน์ และ PTG ต่อยอดระบบนิเวศ Health Tech ปักหมุดเดินเครื่องตั้งเป้า IPO ปี 69 อรินแคร์ (ARINCARE) สตาร์ทอัพผู้ให้บริการแพลตฟอร์มร้านขายยาออนไลน์สำหรับเภสัชกรและร้านขายยา ประกาศปิดดีล Series B มูลค่า 4,000,000 ดอลล่าสหรัฐฯ เดินหน้ายกระดับและต่อยอดระบบนิเวศ Health Tech ไทย คว้ากลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เชื่อมต่อบริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเป็นหนึ่งเดียว และ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ร่วมผนึกกำลังลงทุนใน Health Tech แตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการครบวงจร ชี้ 2 ทุนช่วยเติมเต็มระบบนิเวศ อุดช่องโหว่การดูแลสุขภาพในระดับชุมชน เพิ่มโอกาสเข้าถึงยาและบริการดูแลสุขภาพ เผยปี 2565 เติบโต 100% เตรียมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งเป้า IPO ในปี 2569 ปัจจุบันมีร้านขายยาใช้บริการกว่า 3,000 รายทั่วประเทศ ย้ำ ARINCARE มุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้แนวคิด ‘Make Healthcare Affordable’ หรือ ทำให้บริการดูแลสุขภาพมีราคาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน เสริมแกร่งให้เภสัชกรและร้านขายยาชุมชนที่เป็นด่านหน้าสามารถดูแลผู้ป่วยได้รวดเร็วในราคาที่ประหยัดกว่า ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่สังคมไทยที่ยั่งยืน นายธีระ กนกกาญจนรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรินแคร์ จำกัด เผย การร่วมระดมทุนปิดดีล Series B ผนึกกำลังครั้งสำคัญจาก 2 พาร์ทเนอร์ใหญ่ ด้วยเงินทุนมูลค่า 4,000,000 ดอลล่าสหรัฐฯ โดยมีกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เป็นผู้ร่วมลงทุนหลัก รวมทั้งได้เงินทุนสนับสนุนจาก PTG ในครั้งนี้ นับเป็นแรงอัดฉีดเสริมแกร่ง เพิ่มแรงขับเคลื่อนสู่การเดินหน้ายกระดับและต่อยอดระบบนิเวศ Health Tech ไทยตามโรดแมปที่ตั้งไว้ โดยปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งโรคอุบัติใหม่ในยุคโควิด-19 การแพร่ระบาดของโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมและรับมือกับยุคการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทยในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญเรื่องการดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัวเพิ่มมากขึ้น บวกกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคดิจิทัล กระตุ้นการพัฒนาบริการแพลตฟอร์ม ARINCARE มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์และเกิดประโยชน์สำหรับร้านขายยาและเภสัชกร รวมถึงผู้บริโภคอย่างสูงสุด ทำให้ ARINCARE สามารถขยายตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ด้วยภาพรวมปี 2565 ที่ผ่านมา มีการเติบโตกว่า 100% ทั้งนี้ จากภาพรวมปีที่ผ่านมาทำให้เห็นพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยวางกลยุทธ์ปี 2566 เดินหน้าขยายตลาดไปพร้อมกับความร่วมมือครั้งสำคัญกับกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) บนทิศทางการมุ่งสร้าง Healthcare ecosystem ที่สมบูรณ์ระหว่างโรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพท้องถิ่น เชื่อมโยงไปถึงเภสัชกรในร้านยาชุมชนบนเครือข่าย ARINCARE มากกว่า 3,000 ราย เข้ากับทีมการแพทย์ของ CHG เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลสุขภาพคนในชุมชนได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ยังร่วมจับมือกับ MaxCard ของ PTG ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เข้าถึงผู้บริโภคคนไทยได้มากที่สุด เสริมแกร่งให้กับเภสัชกรและร้านยาชุมชนที่เป็น SME ท้องถิ่นให้เข้มแข็ง เพิ่มการดูแลและบริการด้านสุขภาพให้กับคนไทยผ่าน MaxCard พร้อมเดินเกมรุก เป้าหมายเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ IPO ในปี 2569 “ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านขายยากว่า 20,000 ร้านทั่วประเทศ โดย 80% เป็น SME และมีเพียง 20 % เป็นของแฟรนไชส์หรือผู้ประกอบการรายใหญ่ ในปี 2562 มีมูลค่า 35,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7% แต่มูลค่าตลาดที่เกี่ยวกับเทรนด์สุขภาพเติบโตอย่างมากหลังการระบาดของโควิด-19 และเชื่อว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 13-17% ในปี 2565 มีมูลค่าราว 40,000 ล้านบาท เพราะคนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ช่องว่างบริการสาธารณสุขไทยจึงเป็นโอกาสของธุรกิจ Health Tech ในประเทศไทย ประกอบกับระบบบริการสาธารณะสุขของรัฐฯ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ในขณะที่บริการสาธารณสุขของเอกชน คลินิก และโรงพยาบาลกระจุกตัวในเมืองหรือชุมชนขนาดใหญ่ และมาพร้อมค่าบริการที่สูง ร้านขายยาและเภสัชกรชุมชนคือประตูเปิดให้คนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ดีขึ้น และเมื่อเกิดการเชื่อมโยงระบบนิเวศเกี่ยวกับบริการสาธารณสุขบนแพลตฟอร์มก็จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขด้วยเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น” นายธีระกล่าว การร่วมผนึกกำลังครั้งสำคัญนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวของการสร้างระบบนิเวศสาธารณสุขไทย เพราะนอกจากการปิดดีลด้านธุรกิจแล้ว ทุกฝ่ายยังมีเป้าหมายและความตั้งใจในทิศทางเดียวกัน โดยมุ่งมั่นสร้างโอกาสการมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีของคนไทย โดยยึดชุมชน ผู้บริโภค และผู้ป่วยเป็นจุดศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการดูแลรักษาครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกรอบแนวคิดของ ARINCARE ที่มุ่งมั่นพัฒนาบริการด้วยแนวคิด ‘Make Healthcare Affordable’ ให้ทุกคนในพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายในราคาที่สมเหตุสมผลมาอย่างต่อเนื่อง มุ่งยกระดับ Supply Chain ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงระบบสาธารณสุข การดูแลรักษาสุขภาพ รวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ และยารักษาในราคาที่ยุติธรรม นอกจากนี้ ยังมุ่งเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการเจ้าของร้านยา ทั้งร้านขายยาขนาดกลาง ถึงขนาดเล็ก ที่เป็น SME รวมทั้งเภสัชกร ได้มีเครื่องมือที่ช่วยบริหารธุรกิจและบริการผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงการทำงานด้านการดูแลผู้ป่วยระหว่างแพทย์ และเภสัชกร เพื่อยกระดับบริการสาธารณสุขประเทศ สอดรับกับเทรนด์ใหม่ในการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน และพร้อมรับมือกับการแข่งขันทางธุรกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว นพ.กำพล พลัสสินทร์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) กล่าวว่า ด้วยแนวคิดและทิศทางธุรกิจของ ARINCARE ที่สอดรับกับวิสัยทัศน์ของทาง CHG ทำให้เล็งเห็นถึงโอกาสของการต่อยอดธุรกิจ ที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ในการร่วมสนับสนุนธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพให้เข้าถึงในระดับชุมชน ต่อยอดการเติบโตระบบนิเวศของ Health Tech ยกระดับปรับโครงสร้างระบบสาธารณสุข ให้มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เพื่อโอกาสการเข้าถึงในการดูแลผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) เข้าด้วยกัน ยกระดับบริการแบบไร้รอยต่อ สู่คุณภาพชีวิตที่ดี โดยการนำเทคโนโลยีที่อยู่บนแพลตฟอร์ม ARINCARE โดยเฉพาะระบบ e-prescription ซึ่งเป็นการแชร์ข้อมูลของผู้ป่วยให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อการดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง โดยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยประมวลผลการวินิจฉัยให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยให้การดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถเข้าถึงการรักษาและรับยาได้สะดวกขึ้น ลดปัญหาการใช้ใบสั่งยาที่คลาดเคลื่อน ใบสั่งยาปลอม การแอบนำไปใช้ซ้ำ รวมถึงสามารถติดตามตรวจสอบผลการดูแลรักษาผู้ป่วย ดูประวัติใบสั่งยา ข้อมูลยาที่ผู้ป่วยได้รับใช้งานง่ายและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เผยว่า การร่วมลงทุนกับ ARINCARE นับเป็นโอกาสดีในการร่วมต่อยอดและเติมเต็ม Health Tech Ecosystem ของไทย และหนึ่งในเป้าหมายของ PTG ในการร่วมลงทุนครั้งนี้ นับเป็นการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง โดยผ่าน MAX Ventures ผูกพันธมิตรทางธุรกิจ สร้างโอกาสเป็น New S-Curve รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งและต่อยอดธุรกิจในเครือข่ายของ PTG เพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนไทย ซึ่งจากภาพรวมตลาดในไทยหลายปีที่ผ่าน พบหนึ่งเทรนด์ธุรกิจที่มาแรงและเติบโตแบบก้าวกระโดด คือ Healthcare ปัจจุบันขึ้นแท่นอุตสาหกรรมอนาคตที่มีโอกาสสร้าง New S-curve ให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การแพทย์ เวชภัณฑ์ และยา ขณะเดียวกันพบพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เน้นให้ความสำคัญด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ในการมีสุขภาพดีที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล ทำให้ PTG มองเห็นโอกาสแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการ เสริมศักยภาพให้สถานี PT ทั่วประเทศ ที่จากเดิมมุ่งมั่นเป็นมากกว่าสถานีให้บริการน้ำมัน แต่คาดหวังเป็นสถานีบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการรอบด้าน ทั้งร้านค้า และร้านขายยาโดย NEXX Pharma ที่บริการทั้งจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ โดยเภสัชกรผู้มีประสบการณ์ วางแผนให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ อย่างไรก็ดี การร่วมผนึกกำลังครั้งใหญ่ร่วมกับกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เชื่อมต่อบริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเป็นหนึ่งเดียว และกับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เพื่อแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการครบวงจรยิ่งขึ้นในครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานของ ARINCARE ภายใต้แนวคิด ‘Make Healthcare Affordable’ หรือ ทำให้บริการดูแลสุขภาพมีราคาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ให้เภสัชกรและร้านขายยาในชุมชนที่เป็นด่านหน้าสามารถดูแลผู้ป่วยได้รวดเร็วในราคาที่ประหยัดกว่า ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมไทยที่ยั่งยืน |
“สบายอารมณ์” เปิดตัว Sleep Well Collection รุกตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหย เอาใจคนนอนยาก
“สบายอารมณ์” เปิดตัว Sleep Well Collection รุกตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหย เอาใจคนนอนยาก “สบายอารมณ์” (Sabai arom) แบรนด์ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Thai Home Spa และ Aromatherapy มุ่งเน้นศาสตร์ธรรมชาติบำบัด ผ่อนคลายความเครียด ด้วยพลังจากกลิ่นน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ (Essential oil) 100 % เปิดตัวผลิตภัณฑ์คอเลคชั่นใหม่ที่ช่วยบรรเทาปัญหาเรื่องการนอนหลับ “Sleep Well Collection” เดินหน้าลุยตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันหอมระเหย จับกลุ่มลูกค้าคนทำงานและคนยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ ต้องการผ่อนคลายความเครียดจากการใช้ชีวิตประจำวัน “สบายอารมณ์” แบรนด์ผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ 100% สัญชาติไทย ดำเนินธุรกิจโดย บริษัท ออเทนติค ไทยสปา จำกัด (Authentic Thai Spa Co.,Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เบอร์แทรม(1958) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาดม ยาหม่อง แบรนด์เซียงเพียว และเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ สำหรับแบรนด์สบายอารมณ์ ได้เข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านเบอร์แทรมเมื่อต้นปี 2565 โดยมีผู้บริหารหญิงคนใหม่ที่เป็นหัวเรือของแบรนด์สบายอารมณ์ คือ นางสาวมีนา อัครพงศ์พิศักดิ์ ผู้ช่วยประธานบริหารด้านการตลาด (Assistant Vice President Marketing) บุตรสาวของนางสุวรรณา เอี่ยมพิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด และเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 3 ได้นำแบรนด์สบายอารมณ์ รุกตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยส่งท้ายปี เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Sleep Well Collection เพื่อตอบโจทย์ไลฟสไตล์คนในเมืองที่มีความตึงเครียดจากการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน รวมถึงช่วยเรื่องการนอนหลับให้ดีขึ้น นางสาวมีนา อัครพงศ์พิศักดิ์ กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ ผู้คนให้ความสำคัญและสนใจในเรื่องเทรนด์สุขภาพมาก โดยเฉพาะในช่วงหลังยุคโควิด-19 คนส่วนมาก มีความสนใจในเรื่องการออกกำลังกายที่บ้าน การทานอาหารสุขภาพ และการหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดหรือการรักษาโรคซึมเศร้า มีรายงานจากกรมสุขภาพจิตว่า คนไทยเผชิญปัญหานอนไม่หลับมากถึง 40% หรือราว 19 ล้านคน 30% ของคนไทยนอนหลับยากมากขึ้น และคนทำงาน 70% ทั้งหมดในประเทศไทยเป็นกลุ่มเสี่ยงที่เกิดความเครียด เราจึงนำ Sleep Well Collection ขึ้นมาเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ 100% กลุ่ม aromatherapy ช่วยในเรื่องการบำบัดจิตใจและอารมณ์ ด้วยสารสกัดจากพืชพรรณและดอกไม้ธรรมชาติได้แก่ ดอกลาเวนเดอร์ กระดังงา คาโมมายล์ ยูคาลิปตัส มะกรูด และส้มหวาน ซึ่งแต่ละตัวมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ปรับระบบประสาทสู่โหมดพักผ่อน คลายความกังวล หายใจโล่ง ช่วยให้รู้สึกสบาย นอนหลับง่ายและหลับลึกมากขึ้น ปลอดภัยต่อผู้ใช้ และไม่มี side effect ใดๆหรือสารตกค้างในร่างกายค่ะ” แบรนด์สบายอารมณ์ มีผลวิจัยรับรอง โดยทำการสำรวจกลุ่มตัวแทนประชากร ช่วงอายุ 25-40 ปี จำนวน 100 คน ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ Sabai arom Pillow Mist พบว่าจำนวน 82% ของผู้ใช้จริง นอนหลับได้ดีขึ้น , 83% หลับลึกและยาวนานขึ้น, 80% ช่วยทำให้หลับเร็วขึ้น, 84% รู้สึกสดชื่นหลังตื่นนอน และ 90% ของผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับสามารถหลับได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ Sabai arom Pillow Mist ได้รับรางวัล “Goodlife Good Choice Award 2022” ในหมวด Good Health: Goodlife’s Best Essential Oil For Relaxation Of The Year ซึ่งได้รับการโหวตจากพนักงานออฟฟิศและกรรมการที่ได้ทดลองใช้จริง ให้เป็น Must have item ประจำปี 2022 ของชาวออฟฟิศที่ช่วยเติมเต็มไลฟสไตล์ของชาวออฟฟิศดีขึ้น สำหรับผลิตภัณฑ์ Sleep Well Collection มีทั้งหมด 6 ชนิด ได้แก่ 1. Sabai arom Sleep Well Pillow Mist ขนาด 100 ml. ราคา 399 บาท สเปรย์น้ำมันหอมระเหยสำหรับฉีดหมอน ห้องนอน หรือบริเวณที่ต้องการ กลิ่นหอมของดอกลาเวนเดอร์ กระดังงา และคาโคมายล์ ช่วยให้ประสาทคลายตัว คลายกังวล พร้อมเข้าสู่โหมดพักผ่อน หลับลึก กลิ่นเย็นสบายของยูคาลิปตัสตอนท้ายช่วยให้หายใจโล่ง หลับสบายยาวนาน 2. Sleep Well Essential Oil Blend ขนาด 10 ml. ราคา 379 บาท น้ำมันหอมระเหยสำหรับสูดดมโดยตรง ใช้หยดเตาน้ำมันหอมระเหยหรือเครื่อง diffuser และใช้หยดอ่างอาบน้ำอุ่นเพื่อเพิ่มความผ่อนคลายระหว่างอาบน้ำ 3. Sleep Well Essential Oil Spot Roller ขนาด 8 ml. ราคา 299 บาท ลูกกลิ้งน้ำมันหอมระเหยแบบพกพา ใช้สูดดมหรือกลิ้งตามจุดชีพจรต่างๆบนร่างกายเพื่อความผ่อนคลาย 4. Nite Nite Body Wash ขนาด 200 ml. ราคา 329 บาท เจลอาบน้ำเนื้อนุ่มเนียนใส หนึ่งในผลิตภัณฑ์กลุ่ม Sleep Well Collection ที่หอมละมุน ทำความสะอาดผิวกายอย่างอ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงและคงความชุ่มชื้นให้ผิว 5. Nite Nite Massage Oil ขนาด 200 ml. ราคา 429 บาท น้ำมันนวด กลิ่น Nite Nite จากสบายอารมณ์ ด้วยกลิ่นหอมอบอวลจากน้ำมันหอมระเหยนานาชนิด ทำให้การนวดผ่อนคลายมากกว่าที่เคย บอกลาความเหนื่อย เมื่อยล้าตามร่างกายด้วยกลิ่นหอมละมุน 6. Nite Nite Body Cream ขนาด 120 g. ราคา 349 บาท ครีมบำรุงผิวกาย กลิ่น Nite Nite จากสบายอารมณ์ ด้วยส่วนผสมจากน้ำมันหอมระเหยนานาชนิดอย่าง ดอกลาเวนเดอร์ คาโมมายล์ และ กระดังงา ผสานกับยูคาลิปตัส ที่ให้กลิ่นหอมอบอวลให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หลับสนิท เหมาะสำหรับการพักผ่อนจากวันที่เหนื่อยล้า พร้อมทั้งเป็นตัวช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม น่าสัมผัส สบายอารมณ์ เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ 100% จากดอกไม้พืชพรรณธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ และในกระบวนการผลิตไม่มีการทดลองกับสัตว์ ไม่มีสารเคมีที่ทำให้ระคายเคืองหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์สบายอารมณ์จึงสามารถมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยได้จริง “ถึงแม้ว่าแบรนด์สบายอารมณ์จะเพิ่งเข้ามาเป็นครอบครัวในเครือเบอร์แทรมได้ไม่นาน แต่เรามั่นใจและมุ่งมั่นพัฒนาสบายอารมรณ์ให้เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ที่ปลอดภัย มีคุณภาพสูง ในราคาที่จับต้องได้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ การช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้า ความเครียด ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น พร้อมที่จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีสุขภาพกายและใจที่ดีสำหรับทุกคน ซึ่งเป็นเป้าหมายของแบรนด์ที่อยากจะมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สร้างคุณค่าเพื่อสมดุลของศาสตร์ธรรมชาติบำบัด ให้ความรู้กับผู้คนในการนำน้ำมันหอมระเหยไปเป็นเพื่อนคู่กาย เป็นตัวช่วยในการดูแลตัวเองและช่วยบำบัดในเรื่องสุขภาพและอารมณ์ มีความปลอดภัย ใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ รวมถึงการส่งมอบประสบการณ์และเอกลักษณ์ของ Thai Essence ให้กับผู้คน สำหรับ brand direction ในปี 2023 สบายอารมณ์จะมุ่งโฟกัสทำการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าชาวไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นตลาดหลักของเรา การสร้างคอเลคชั่นใหม่ๆ มีการดีไซน์ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Thai scent ให้ดูโมเดิร์นขึ้น รวมถึงการขยายช่องทางการขายมากขึ้น เพราะปัจจุบันเป็นช่องทางการขายทางออนไลน์ แต่ในปีหน้าจะขยายไป Tourist channel มากขึ้น เช่น คิงเพาเวอร์ ร้านบูทส์ Health & wellness shop หรือในจุดที่คนมองหาโซลูชั่นเกี่ยวกับสุขภาพ ไม่มีเรื่องของสารเคมี และมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้น” นางสาวมีนา อัครพงศ์พิศักดิ์ ผู้บริหารแบรนด์สบายอารมณ์ กล่าวทิ้งท้าย ปัจจุบันแบรนด์สบายอารมณ์ มีผลิตภัณฑ์หลากหลายหมวดหมู่ได้แก่ สเปรย์น้ำมันหอมระเหย (Essential Oil Mist) น้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) ลูกกลิ้งน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil Roller) แฮนด์ครีม (Hand Cream) บอดี้ครีม (Body Cream) น้ำมันนวด (Massage Oil) และเจลอาบน้ำ (Shower Gel) ช่องทางจัดจำหน่ายออนไลน์บนshopee : Sabaiarom_officialstore Lazada: Sabai-arom และเว็บไซต์ https://sabaiarom.com/ ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นต่างๆของสบายอารมณ์ได้ทาง https://www.facebook.com/SabaiAromNaturals |
“บีไชน์ เนเจอร์ซี” วิตามินซีธรรมชาติ ผู้ช่วยที่คอยดูแลความสดใสให้ผิว และสุภาพดี
“บีไชน์ เนเจอร์ซี” วิตามินซีธรรมชาติ ผู้ช่วยที่คอยดูแลความสดใสให้ผิว และสุภาพดี จัดโปรพิเศษ ขนาดซองพกพา เหลือซองละ 35 บาท ที่เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขา “บีไชน์ เนเจอร์ซี” (B Shine NaturC) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินซีจากธรรมชาติ อะเซโรลา เชอร์รี่ สกัดเข้มข้นจากสหรัฐอเมริกา ผสานคุณประโยชน์ของสารสกัดจากผักและผลไม้ ที่อุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์และสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยดูแลสุขภาพ เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด และภูมิแพ้ พร้อมช่วยบำรุงผิวใส สุขภาพดี “บีไชน์ เนเจอร์ซี” เป็นวิตามินซีธรรมชาติ 100% จึงสามารถในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร แบบเม็ด ทานง่าย ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด : ประกอบด้วย อะเซโรลา เชอร์รี่ สกัด 1000 มก., ซิตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ 100 มก., เบอร์รี่มิกซ์ 120 มก. (สตรอเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, ราสพ์เบอร์รี่, เอลเดอร์เบอร์รี่, แบล็คเคอร์เรนท์, เรดบีท), สารสกัดจากทับทิม 47.50 มก., สารสกัดจากเมล็ดลิ้นจี่ 23.75 มก., แคโรทีนอยด์ 7.5% 23.75 มก. รับประทานง่ายๆ เพียงวันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร มื้อเช้าหรือเย็น เริ่มเข้าฤดูหนาวแล้ว หลายจังหวัดอากาศเริ่มเย็นแล้ว ควรดูแลร่างกาย เสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อสุขภาพที่ดีอยู่ตลอด ให้ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” เป็นผู้ช่วยที่คอยดูแลความสดใส ช่วยให้ผิวสวยกระจ่างใส สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง และเพื่อต่อสู้เชื้อโรคจากโควิด-19 กับสถานการณ์ในยุคปัจจุบันที่เชื้อโรคยังไม่หมด หายไปจากโลก ยังต้องดูแลร่างกายของตัวเองและคนที่คุณรักอยู่เสมอ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” แบบซองพกพาสะดวก ขนาด 5 เม็ด และแถมฟรีอีก 1 เม็ด จัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ เหลือเพียง 35 บาท และท่านใดที่เป็นสมาชิก ALL member ของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ลดเพิ่มอีก 1 บาท เหลือ 34 บาท จากปกติ ราคา 49 บาท ซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ - 23 พฤศจิกายน 2565 ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” วิตามินซีธรรมชาติ 100% เป็นสินค้าขายดี 1 ใน top 10 ของตลาด ซึ่งควบคุมการผลิตและจัดจำหน่ายโดย บริษัท บีไชน์ นูทริชั่น พลัส จำกัด สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมของ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” ได้ที่ www.bshine.co.th, FB : https://www.facebook.com/BnpHealth และ Line : @Bshine |
ส่อง "โรคอ้วนและเบาหวาน" โรคร้ายของสังคมยุคใหม่
ส่อง "โรคอ้วนและเบาหวาน" โรคร้ายของสังคมยุคใหม่ “อ้วน” คำสั้น ๆ ที่แทงใจดำใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนเจ้าเนื้อที่อยู่ในขั้นอวบระยะสุดท้าย พอได้ยินคำนี้ทีไร มันเจ็บจี๊ดอย่างบอกไม่ถูก แต่คุณทราบหรือไม่ว่า นอกจากเรื่องความสวยงามของรูปร่าง ความอ้วนยังแฝงภัยร้ายที่เราต้องระวังอีกมากมาย ซึ่งเคสที่เริ่มพบบ่อยขึ้นในปัจจุบันก็คือโรคเบาหวานที่มาพร้อมกับภาวะอ้วน แบบไหนที่เรียกว่าอ้วน การที่เราจะรู้จักโรคอ้วนให้ถูกต้องตามหลักการ ต้องอาศัยคุณหมอมาช่วยชี้ชัดเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ในครั้งนี้ นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลวิมุต ได้ให้คำอธิบายว่า “โรคอ้วนคือโรคเรื้อรังที่เกิดจากร่างกายมีปริมาณไขมันมากกว่าปกติจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การจะระบุว่าเป็นภาวะอ้วนหรือไม่ โดยมากจะพิจารณาจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) คือใช้น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมและหารด้วยส่วนสูงในหน่วยเมตรยกกำลังสอง หากมีค่าดัชนีมวลกายเกิน 25 ก็ถือว่ามีภาวะอ้วน หรือสามารถวัดรอบเอวอย่างง่าย ๆ โดยใช้เกณฑ์สำหรับคนเอเชียทั่วไป ผู้ชายที่มีรอบเอวเกิน 90 เซนติเมตรและผู้หญิงที่เกิน 80 เซนติเมตรขึ้นไป ก็ถือว่าอ้วน” สาเหตุของโรคอ้วนมีมากมาย นับตั้งแต่พันธุกรรม อายุที่มากขึ้นซึ่งทำให้การเผาผลาญลดลง การมีโรคประจำตัวและการใช้ยารักษาโรคบางชนิดที่ทำให้การเผาผลาญผิดปกติ และอีกหนึ่งสาเหตุที่พบมากขึ้นในคนหนุ่มสาวปัจจุบันก็คือพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพหรือมากเกินไป ก็ทำให้น้ำหนักขึ้นจนเกิดภาวะอ้วนได้เช่นกัน ในทางกลับกัน เราอาจเคยเห็นบางคนที่กินมากเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่คน ๆ นั้นมีโรคประจำตัวแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว เช่นอาจมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษทำให้มีการเผาผลาญพลังงานมากกว่าปกติ ซึ่งจำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป คุณหมอชาญวัฒน์ยังเตือนว่าภาวะอ้วนเป็นเรื่องที่เราไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจนำมาซึ่งโรคร้ายได้อีกหลายโรค และเคสที่เริ่มเกิดมากขึ้นในสังคมปัจจุบันคือโรคเบาหวานจากภาวะอ้วน อ้วนเมื่อไหร่ เสี่ยงเบาหวานเมื่อนั้น พญ. ธนพร พุทธานุภาพ อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า “คนที่อ้วนจะมีไขมันในร่างกายสูงทำให้ฮอร์โมนอินซูลินที่ช่วยลดระดับน้ำตาลทำงานได้ไม่ดี ส่งผลให้การใช้และการกำจัดน้ำตาลไม่เท่าคนปกติ ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและเป็นเบาหวานได้ ซึ่งคนที่เป็นโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินจะมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานมากกว่าคนปกติ 3-7 เท่า และ 80-90% ของคนไข้เบาหวานจะมีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกินร่วมด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสองโรคนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก” การรักษาโรคเบาหวานจากภาวะอ้วน จะเริ่มตั้งแต่การปรับพฤติกรรมการกินและรูปแบบอาหาร รวมถึงการต้องออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ เพื่อลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งคุณหมอธนพรแนะนำว่าควรเข้ามาพบแพทย์เพื่อรักษา เพราะผู้ป่วยเบาหวานบางคนอาจไม่ได้ดีขึ้นจากการควบคุมอาหารอย่างเดียว อาจจะต้องใช้ยาช่วย ซึ่งยารักษาในปัจจุบันมีความปลอดภัย ไม่มีผลต่อไต ช่วยในการควบคุมน้ำตาลและลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานได้ดี นอกจากนี้ถ้าเป็นเบาหวานและโรคอ้วนร่วมด้วย ก็จะมียากลุ่มใหม่ที่ช่วยลดทั้งน้ำตาลและน้ำหนักด้วย ซึ่งมีทั้งแบบกินและแบบฉีด ช่วยทำให้ผู้ป่วยคุมอาหารได้ง่ายขึ้น อิ่มเร็วขึ้น ลดระดับน้ำตาลได้เร็วขึ้น ซึ่งช่วยให้การรักษาไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แต่สิ่งที่หลายคนวิตกกังวลก็คือถ้าเป็นโรคเบาหวานแล้วจะรักษาหายขาดได้หรือไม่? “ปัจจุบัน เรายังไม่เรียกว่าหายขาดแต่ใช้คำว่าโรคสงบคืออยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกับคนปกติ” คุณหมอธนพร ตอบ “สำหรับคนไข้ที่เป็นเบาหวานร่วมกับภาวะอ้วนมาไม่นานเกิน 3-5 ปี หากลดน้ำหนักได้ 15% ขึ้นไป ก็มีโอกาสที่โรคเบาหวานจะสงบจนอยู่ในระดับปกติโดยไม่ต้องใช้ยา แค่ต้องคุมน้ำหนักต่อเนื่องเท่านั้น” ดังนั้น การป้องกันโรคเบาหวานจากภาวะอ้วนจึงอยู่ที่การควบคุมน้ำหนักซึ่งต้องปฏิบัติควบคู่กันในหลาย ๆ ด้านทั้งการปรับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น ในอาหารหนึ่งจานอาจแบ่งเป็น 4 ส่วน ครึ่งหนึ่งกินเป็นผักใบๆ อีกหนึ่งในสี่กินเป็นเนื้อสัตว์ติดมันที่ปรุงแบบไขมันต่ำอย่างตุ๋น ต้ม หรือนึ่ง อีกหนึ่งส่วนเป็นคาร์โบไฮเดรต ซึ่งแนะนำเป็นข้าวกล้องหรือข้าวไรซ์เบอร์รี่จะทำให้น้ำตาลไม่สูงและมีกากใยเยอะ รับประทานผลไม้ในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกชนิดที่ไม่หวานจัดเช่น แอปเปิ้ล 1 ผลเล็ก ฝรั่งครึ่งผลกลาง ชมพู่ 3-4 ผลกลาง นอกจากนี้ยังควรเสริมการออกกำลังกายอย่างการยกน้ำหนัก วิดพื้น ซิทอัพ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ และการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น ว่ายน้ำ วิ่ง ปั่นจักรยาน ให้ได้สัปดาห์ละ 150 นาทีขึ้นไป เท่านี้คุณก็จะห่างไกลจากโรคอ้วนและเบาหวานได้ ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะอ้วนหรือต้องการเข้ารับการตรวจรักษาโรคเบาหวานและโรคอื่น ๆ จากภาวะอ้วน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ ชั้น 9 โรงพยาบาลวิมุต โทร. 02-079-0070 ### เกี่ยวกับโรงพยาบาลวิมุต โรงพยาบาลวิมุต ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจใกล้สี่แยกสะพานควายของกรุงเทพมหานครฯ เป็นโรงพยาบาลขั้นตติยภูมิ (Tertiary Care) ขนาด 236 เตียงในรูปแบบอาคารสูง 18 ชั้น ซึ่งได้รับการออกแบบตามมาตรฐานสากลของ Joint Commission International (JCI) เน้นให้บริการรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ สมอง เบาหวาน กระดูก ระบบทางเดินอาหาร และตับ รวมถึงกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) นอกจากนี้ ยังมีบริการทางการแพทย์อื่น ๆ อาทิ ศูนย์สุขภาพผู้สูงอายุ (Geriatric center) เพื่อตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการดูแลพื้นฟูสภาวะหลังวิกฤต (Transitional Care) เพื่อฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยหลังจากรักษาเพื่อเตรียมตัวก่อนกลับบ้าน เรานำเสนอบริการในรูปแบบ One-stop Service ซึ่งครอบคลุมบริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Health to Home) มอบความสะดวกสบายและทันสมัยผ่านการใช้ ViMUT Application สำหรับการตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ส่วนบุคคล การจองนัดหมายแพทย์ด้วยตัวเอง การรับคำปรึกษาจากแพทย์แบบออนไลน์ (Telemedicine) และบริการจัดส่งยาและวัคซีนถึงบ้าน (ViMUT Drug delivery) |
อิปซอสส์ เผยผลวิจัยชุดล่าสุด ชุด SEA AHEAD wave 6 ภาพรวมมั่นใจสภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว แต่วิตกกังวล “เงินเฟ้อ” สูงสุดแทน โควิด
อิปซอสส์ เผยผลวิจัยชุดล่าสุด ชุด SEA AHEAD wave 6 ภาพรวมมั่นใจสภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว แต่วิตกกังวล “เงินเฟ้อ” สูงสุดแทน โควิด ไม่มั่นใจด้านรายได้ ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสุขภาพ และ เลือกที่จะตัดรายจ่ายกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นและสินค้าราคาแพง โดยกลุ่มที่มีการซื้อมากขึ้น คือ กลุ่มอาหาร มาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด สินค้าส่วนบุคคล ภัตตาคารและร้านกาแฟ และ เสื้อผ้า-รองเท้า-เครื่องประดับ ตาม ลำดับ วันที่ 26 ตุลาคม 2565 ณ ห้องประชุม เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ บริษัท อิปซอสส์ จำกัด (Ipsos Ltd.) ผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค ผู้ให้บริการงานวิจัยที่ทำการออกแบบเฉพาะรายแบบครบวงจร Customized One Stop Research Solution Service โดย นายภาคี เจริญชนาพร Country Service Line Leader ได้เปิดเผย – ข้อมูลวิจัยชุดพิเศษ SEA AHEAD wave 6 “สถานการณ์โควิด-19 ระลอก 6 จากการแพร่ระบาด สู่ โรคประจำถิ่น ที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค แบรนด์สินค้า และ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชากร ตลอดจน แนวทางการรับมือสำหรับแบรนด์และนักการตลาด โดย อิปซอสส์ ได้ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ชุดวิจัยและสำรวจนี้นับเป็นชุดที่ 6 ทำการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3,000 ราย เป็นชาย 49 หญิง 51 สำหรับ 5 ช่วงอายุ รวมถึง กลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ โดยสำรวจตลาดสำคัญ ในแถบภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวม 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และ ประเทศไทย ทำการสำรวจระหว่างเดือน พฤษภาคม - มิถุนายน 2565 พร้อมถามถึงความคิดเห็นสำหรับการคาดการในอีก 6 เดือนในอนาคต อีกด้วย นายภาคี เปิดเผยว่า โดยภาพรวมความเชื่อมั่นของประชากรในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกเฉียงใต้ กับสถานการณ์โควิด ที่มีการเปลี่ยนจากภาวการณ์แพร่ระบาด สู่ โรคประจำถิ่น โดย อินโดนีเซียมีความเชื่อมั่นสูงสุด และ ไทยในอัตราต่ำสุด มีสถิติ ดังนี้ อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงค์โปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และ ไทย ในอัตรา 85% 81% 74% 68% 65% และ 55% ตามลำดับ ทั้งนี้ พฤติกรรมของประชากรชาวไทยเกี่ยวกับกิจกรรมที่อยากทำในอีก 3 เดือนข้างหน้า เรียงตามลำดับดังนี้ - ไปเยี่ยมเพื่อนและครอบครัวที่บ้าน ไปภัตตาคาร ท่องเที่ยวภายในประเทศ ไปร่วมงานวัฒนธรรมและงานชุมนุม ใช้บริการรถขนส่งมวลชน ไปเข้ายิมและทำกิจกรรมด้านกีฬา ไปเที่ยวต่างประเทศ ในอัตรา 67%, 63%, 60%, 50%, 49%, 49% และ 43% ตามลำดับ นอกจากนี้ กิจกรรมที่ทำในช่วงการแพร่ระบาดโควิด คือ เน้นสุขภาพ และ ช้อปปิ้ง ออนไลน์ โดย 96% ยอมทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น เพื่อการดูแลสุขภาพร่างกายตนเองให้ดียิ่งขึ้น และ 83% ยอมตัดความสะดวกสบายบางอย่าง เพื่อเอาเงินไปซื้อสินค้าด้านสุขภาพ คนไทยนิยมซื้อผ่านการ ไลฟ์สตรีม โดยแพลตฟอร์ม ที่นิยม คือ โซเชียลมีเดีย อี-คอมเมิร์ช และ Twitch นายภาคี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ยังคงเป็นที่ช่องทางที่เติบโตอย่างต่อ เนื่อง โดยสถิติการซื้อของออนไลน์ใน 6 เดือนที่ผ่านมา เปรียบเทียบระหว่างช่วง พ.ย. 64 ถึง พ.ค. 65 สำหรับกิจกรรม มีการซื้อมากขึ้น / การซื้อเท่าเดิม และ ซื้อน้อยลง ดังนี้ : - ซื้อมากขึ้นเป็นสัดส่วน 51 : 47% / เท่าเดิม 32 : 36% / ซื้อน้อยลง 13 :14% และ ไม่ระบุ จะเห็นว่าเปอร์เซ็นต์ที่มีการซื้อเท่าเดิมสูงขึ้น ส่วนการซื้อมากขึ้นกลับมีพฤติกรรมในการซื้อลดลง และ จำนวนคนกลุ่มที่ซื้อน้อยลง มีอัตราสูงขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ ประเภทสินค้าที่ซื้อ ได้แก่ เสื้อผ้า / รองเท้า /แฟชั่น - สินค้าส่วนบุคคล และ ผลิตภัณฑ์ด้านความงาม กลุ่มอา/หาร กลุ่มของใช้ในบ้าน กลุ่มเครื่องดื่ม ของเล่นและเกม ผลิตภัณฑ์ซ่อมแซมบ้าน ผู้บริโภคไทยยังคงนิยมซื้อของผ่านช่องทางออฟไลน์ เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์ เป็นอันดับ 1 ร้านสะดวกซื้อและร้านโชห่วยตามมาติดๆ แต่สัดส่วนของการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ก็มีไม่น้อยเช่นกัน โดยช่องทางการจับจ่าย และความถี่ในการจับจ่าย โดยมีสถิติเฉลี่ย เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ความถี่เดือนละครั้ง และ สัปดาห์ละครั้งหรือมากกว่า ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้ Supermarket-Hyper market 43 : 39 = 82% CVS-Minimart 38 : 43 = 81% Traditional Grocery store 35 : 44 = 79% Wet market 33 : 40 = 73% E Commerce 40 : 34 = 74% Social network seller 27 : 24 = 51% โดยแพลตฟอร์ม การไลฟ์สตรีม ช็อปปิ้ง ที่นิยม คือ โซเชียลมีเดีย และ อี คอมเมิร์ช ด้วยสัดส่วน 87’% ไลฟ์ผ่าน โซเชี่ยลมีเดีย (เฟสบุ๊ค / ยูทูป / อินสตราแกรม ไลฟ์) 71% อี คอมเมิร์ช (Shoppee Lazada) ประชากรในกลุ่ม SEA มีความเชื่อมั่นในภาพรวมความเชื่อมั่นของสภาวะเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนความคิดเห็นด้านสถานะทางด้านการเงินในครัวเรือน ในอีก 6 เดือน ดีขึ้น / เหมือนเดิม หรือ แย่ลง โดยอัตราที่ สถานภาพทางการเงินดีขึ้น 27% และ คิดว่าแย่ลง 36% ส่วนเท่าเดิม คือ 37% โดยความมั่นใจว่าในสถานะภาพ ด้านการเงินในครัวเรือน ในอีก 6 เดือนข้างหน้า (จาก พ.ค. 2565) การเงินดีขึ้น เหมือนเดิม และ แย่ลง ในอัตรา 51% 32% และ 17% ตามลำดับ เป็นผลให้ประชากรส่วนใหญ่จะมีการตัดงบหรือชะลอการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ราคาแพง โดยกลุ่มสินค้าที่มีการจับจ่ายมากขึ้น และ กลุ่มที่มีการซื้อลดลง เป็นสัดส่วน ดังนี้ กลุ่มที่มีการซื้อมากขึ้น คือ อาหารสำหรับปรุงเองที่บ้าน ผลิตภัณฑ์ด้านทำความสะอาด สินค้าส่วนบุคคล ภัตตาคารและร้านกาแฟ และ เสื้อผ้า-รองเท้า-เครื่องประดับ ในอัตรา 50% 35% 31% 22% และ 19% ตามลำดับ ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการที่มีการใช้จ่ายน้อยลง ได้แก่ การท่องเที่ยวภายในประเทศ ท่องเที่ยวต่างประเทศ กิจกรรมด้านวัฒนธรรม ภัตตาคารและร้านกาแฟ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า ในอัตรา 40% 39% 38% 33% และ 30% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทย ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันถึง 4 เดือน คนไทยเลือกแบรนด์แบรนด์ที่สะท้อนภาพลักษณ์และคุณค่าของตนเอง และอยากให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวช่วยในการเลือกสินค้าและบริการ ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย 71% ยินดีจ่ายเพิ่มให้กับแบรนด์ที่สามารถเสริมภาพลักษณ์ให้ตนเอง และ 74% เลือกซื้อแบรนด์ที่สะท้อนคุณค่าให้กับตนเองได้ แต่สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่จะให้คุณค่าต่อแบรนด์มากกว่าอัตราเฉลียของภาพรวมการบริโภค ดังนี้ 76% ของคนไทย Gen Z มักเลือกซื้อแบรนด์ที่สะท้อนถึงคุณค่าส่วนตัว 73% ยินดีจ่ายเพิ่มให้กับแบรนด์ที่สร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง ทั้งนี้ ในยุคที่ข้อมูลล้นหลามและเข้าถึงได้โดยง่าย กระบวนการตัดสินใจที่ไม่ยุ่งยาก เป็น กุญแจสำคัญสำหรับแบรนด์สินค้าและนักการตลาด ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภค ในการหาตัวช่วยในการช่วยตัดสินใจ โดย 69% ของผู้บริโภคชาวไทยต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญเลือกผลิตภัณฑ์และบริการแทนการตัดสินใจเอง ความวิตกกังวลและความเชื่อมั่นในสภาวะเศรษกิจ หลังโควิด สู่ โรคประจำถิ่น ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนของรายได้ เป็นปัญหาที่วิตกกังวลสูงสุด ความกังวลด้านเงินเฟ้อมีอัตราสูงขึ้นอย่างเป็นนัยสำคัญ ส่วน โรคระบาดโควิด-19 มีอัตราลดต่ำลงอย่างเด่นชัด ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวก็เป็นปัจจัยด้านความกังวลใจของประชากรทั่วโลก และ ประชากรในกลุ่ม SEA เช่นกัน แต่ลำดับความกังวลใจแตกต่างกัน อิปซอสส์ สรุปปัญหาและปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจ พร้อม แนะ แนวทางการรับมือวิกฤตตลาด ผู้บริโภคในกลุ่มประเทศ SEA โดยเฉพาะคนไทย ต่างวิตกกังวลในความไม่แน่นอนของสุขภาพทางการเงินในอนาคต ซึ่งนำไปสู่อารมณ์ที่อ่อนไหว ดังนี้ 1. ถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2564 อย่างไรก็ ตาม อัตราเงินเฟ้อได้กลายเป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความวิตกกังวลเป็นอย่างสูง แทน ความกลัวต่อโรคระบาด โควิด-19 2. ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความพยายามในการควบคุมอัตราเงิน เฟ้อ เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ในโลก แต่ประชากรต่างก็ยังมีวิตกกังวลถึงผลกระ ทบของภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถพลิกฟื้นได้ดีเท่าที่ควร 3. ภาวะเงินเฟ้อและราคาที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการครองชีพและรายได้ ซึ่งถือเป็น สถานการณ์ที่ยากลำบากของผู้ที่ยังรอคอยการฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 4. เนื่องจากผู้บริโภคจำต้องจับจ่ายเกี่ยวกับกลุ่มอาหาร ของใช้ส่วนตัว และ เชื้อเพลิง มากขึ้น ทำ ให้พวกเขาต้องตัดงบสำหรับกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นและที่มีราคาสูง ไว้ก่อน ทำให้ พฤติกรรม การซื้อของผู้บริโภคหันมาคำนึงถึงคุณค่าสินค้าเพื่อความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แบรนด์ จำเป็นต้องคำนึงถึงจุดแข็ง และ กลยุทธด้านราคาที่ส่งผลต่อความอ่อนไหวด้านความรู้สึกของ ผู้บริโภคในภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจน ต้องพิจารณา ปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบในการทำแผน การตลาด 5. ผู้บริโภคจะเลือก "ผู้เชี่ยวชาญ" มากกว่า “อินฟลูเอนเซอร์” เพียงอย่างเดียว ยิ่งกว่านี้ ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์สินค้าที่สะท้อนคุณค่าของตัวตนและความคุ้มค่า จุดนี้อาจใช้ให้เกิด ประโยชน์ ต่อ แบรนด์สินค้าในการชนะใจผู้บริโภค และ การสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะ ยาว เกี่ยวกับผลสำรวจ รายงานการวิจัย ชุด สรุปผลการศึกษาของ การระบาดระลอก 6 นี้ เป็นการดำเนินการบนระบบออนไลน์ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 - มิถุนายน 2565 โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3,000 คน (500 รายต่อประเทศ) เป็นชาย 49 หญิง 51 เป็นคนโสด-สมรส-หย่า-หม้าย ในสัดส่วน 39 :51:3:2 และในช่วงอายุ 18 – 55+ โดยในชุดสำรวจครั้งนี้ ได้จัดทำกลุ่ม โดยสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างจะถูกจัดสรรให้เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่างของแต่ละประเทศ |
เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น เอาใจคนรักสุขภาพ เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่
เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น เอาใจคนรักสุขภาพ เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ไฮโปรตีน ไอซ์ คอฟฟี่ ดริ้งค์ มิกซ์ และ เฮอร์บาไลฟ์24 อาร์เอส โปร ดริ้งค์ มิกซ์ เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น (Herbalife Nutrition) บริษัทโภชนาการชื่อดังระดับโลก เปิดตัว 2 เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ไฮโปรตีน ไอซ์ คอฟฟี่ ดริ้งค์ มิกซ์ (High Protein Iced Coffee Drink Mix) 2 กลิ่น คือ คาเฟ่ ลาเต้ และมอคค่า และ เฮอร์บาไลฟ์24 อาร์เอส โปร ดริ้งค์ มิกซ์ ช็อกโกแลต เฟลเวอร์ (Herbalife24 RS PRO Drink Mix – Chocolate Flavour) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์โภชนาการนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวโดยเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น ในประเทศไทยเพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดี ตลอดจนตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ทั้งนี้เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น ยังมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ใส่ใจสุขภาพจะสามารถค้นหาแนวทางการดูแลสุขภาพที่ได้ผล ทั้งสุขภาพส่วนตัวและบรรลุเป้าหมายด้านความเป็นอยู่ที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน โดยภายในงานฯ ได้รับเกียรติจาก เภสัชกรหญิง ดร.วิภาดา แซ่เล้า ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายโภชนาการและทะเบียนผลิตภัณฑ์ฯ พร้อมด้วย โย ยศวดี หัสดีวิจิตร แบรนด์แอมบาสเดอร์เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น ประเทศไทย ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ด้านโภชนาการกับเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น นายสุพจน์ ฤทธิพิชัยวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “ในปีนี้เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 25 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยบริษัทได้ดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงผ่านผลิตภัณฑ์โภชนาการคุณภาพสูง และนวัตกรรมที่ผลิตโดยเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังได้ให้ความรู้ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ที่กระฉับกระเฉงมากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่หลากหลาย รวมทั้งส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้บริโภคอย่างครอบคลุม โดยเราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าผลิตภัณฑ์โภชนาการที่มีคุณภาพของเรารวมกับแผนการส่วนบุคคลที่จัดทำโดยผู้จัดจำหน่ายอิสระของเรา จะสามารถช่วยให้ลูกค้าตอบสนองความต้องการทางโภชนาการและบรรลุผลตามที่ต้องการได้ รวมถึงมีผลสำรวจด้านอาหารเช้าเพื่อสุขภาพของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น กับผู้คนกว่า 5,500 คนในตลาดเอเชียแปซิฟิก 11 แห่ง พบว่าผู้บริโภคชาวไทยมากกว่า 24% ดื่มกาแฟใส่นมทุกวัน โดยถือว่ากาแฟเป็นเครื่องดื่มสำหรับมื้อเช้าหลักของคนไทย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังระบุด้วยว่าเทรนด์รักสุขภาพและการออกกำลังกายกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย โดยผลสำรวจด้านความเฉื่อยของสุขภาพในเอเชียแปซิฟิก ปี 2564 ของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น พบว่าประมาณ 28% ของผู้บริโภคชาวไทยมีสัญญาณของสุขภาพที่แย่ลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และประมาณ 71% ของผู้บริโภคที่ตอบแบบสำรวจต้องการเพิ่มตารางเวลาในแผนการออกกำลังกายประจำวัน ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดตัวไฮโปรตีน ไอซ์ คอฟฟี่ และอาร์เอส โปร เพื่อสนับสนุนผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและชื่นชอบการออกกำลังกายในตลาดประเทศไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ ไฮโปรตีน ไอซ์ คอฟฟี่ ดริ้งค์ มิกซ์ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับสุขภาพ โภชนาการ และความเป็นอยู่ที่ดี ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น จึงเปิดตัวกาแฟเย็นเพื่อสุขภาพ ไฮโปรตีน ไอซ์ คอฟฟี่ ดริ้งค์ มิกซ์ หนึ่งในผลิตภัณฑ์โภชนาการเชิงนวัตกรรมที่มีคุณภาพสูง และใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อผู้บริโภคที่หลงใหลรสชาติที่สดชื่น หอม เข้ม กลมกล่อมของกาแฟ ด้วยการผสมผสานกันอย่างลงตัวของกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากเมล็ดกาแฟโรบัสต้าเอสเพรสโซ่ 100% ที่คั่วระดับปานกลางถึงอ่อนอย่างพิถีพิถันจากประเทศบราซิล พร้อมคุณประโยชน์อื่นๆ อาทิ โปรตีน 15 กรัม ให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรี ไม่มีน้ำตาล และไม่เติมสีสังเคราะห์ เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ต้องการดูแลรูปร่าง และให้ความสำคัญกับเรื่องโภชนาการ ตลอดจนผู้ที่มองหาเครื่องดื่มกาแฟเย็นทางเลือกที่มีคุณประโยชน์ โปรตีนสูง มีให้เลือก 2 กลิ่น ได้แก่ คาเฟ่ ลาเต้ และ มอคค่า ใน 1 ซองสามารถแบ่งทานได้ทั้งหมด 14 ครั้ง และยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ดื่มได้ทั้งช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ เฮอร์บาไลฟ์24 อาร์เอส โปร ดริ้งค์ มิกซ์ ช็อกโกแลต เฟลเวอร์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คนให้มีสุขภาพดีขึ้นด้วยพลังแห่งโภชนาการที่ดี และส่งต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในซีรีส์ เฮอร์บาไลฟ์ ทเวนตี้โฟร์ (Herbalife24) กับส่วนผสมที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น อย่างต่อเนื่อง จนได้ผลิตภัณฑ์โภชนาการที่เราภูมิใจ หรือ เฮอร์บาไลฟ์24 อาร์เอส โปร ดริ้งค์ มิกซ์ กลิ่นช็อกโกแลต เครื่องดื่มโปรตีนจากนม ผสมเวย์โปรตีนมากถึง 25 กรัม มีวิตามินซี วิตามินอี แร่ธาตุ พร้อมด้วยส่วนผสมที่คัดสรรอย่างลงตัว อาทิ ไตร-คอร์อะมิโน โปรตีน แอล-กลูตามีน เคซีน กรดอะมิโนแบบโซ่กิ่ง (BCAAs) และสารต้านอนุมูลอิสระ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย ต้องการเสริมสร้างสมรรถภาพทางร่างกาย ผู้ที่เคลื่อนไหวคล่องตัวหรือแอคทีฟตลอดทั้งวัน ผู้ที่ดูแลรูปร่างและใส่ใจด้านโภชนาการ รวมถึงนักกีฬาสมัครเล่น และนักกีฬาอาชีพที่ต้องการดูแลสุขภาพ ด้าน โย ยศวดี หัสดีวิจิตร แบรนด์แอมบาสเดอร์เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม การออกกำลังกายในแต่ละช่วงของการแข่งขัน และโภชนาการที่เหมาะสมกับตัวเองจากผู้เชี่ยวชาญของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น มาโดยตลอด อีกทั้งในฐานะนักกีฬา มองว่าการสร้างกล้ามเนื้อเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของการออกกำลังกาย ดังนั้นเราควรมองหาโภชนาการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการแบบนักกีฬาควบคู่กับการออกกำลังกายได้อย่างลงตัว ซึ่งโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ช่วยสนับสนุนการออกกำลังกายของโยได้ในทุกช่วงของการแข่งขัน ทั้งช่วงฝึกซ้อม ก่อนแข่ง ระหว่างแข่ง และหลังแข่ง รวมถึงช่วยในการดูแลรูปร่างให้เราได้อย่างมั่นใจ” สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น สามารถติดตามข้อมูล ข่าวสาร สั่งซื้อสินค้า หรือความเคลื่อนไหวด้านเคล็ดลับเพื่อสุขภาพที่ดีได้ที่ www.facebook.com/HerbalifeThailandOfficial หรือผ่านทาง www.instagram.com/HerbalifeThailandOfficial เกี่ยวกับเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น (NYSE: HLF) เป็นบริษัทโภชนาการระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนด้วยผลิตภัณฑ์โภชนาการที่ยอดเยี่ยมและเป็นธุรกิจที่พิสูจน์แล้วว่าให้โอกาสสำหรับผู้จำหน่ายอิสระตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 บริษัทนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ได้รับการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ซึ่งจำหน่ายในกว่า 95 ประเทศ โดยผู้จัดจำหน่ายที่เป็นผู้ประกอบการ จะถูกฝึกสอนแบบตัวต่อตัวและสนับสนุนชุมชนที่ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกค้ายอมรับวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีและกระตือรือร้นมากขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น ในการขจัดความหิวโหยให้แก่ผู้คนและชุมชนทั่วโลก พร้อมให้คำมั่นว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่จับต้องได้มากกว่า 50 ล้านครั้งภายในปี พ.ศ. 2573 เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีของ เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น |
“คินน์” ผู้นำธุรกิจสุขภาพ เสริมความแกร่ง เดินหน้าสร้าง New S-Curve จับมือร้านอาหาร Copper Buffet ขยายกลุ่มนิวเจนฯ
“คินน์” ผู้นำธุรกิจสุขภาพ เสริมความแกร่ง เดินหน้าสร้าง New S-Curve จับมือร้านอาหาร Copper Buffet ขยายกลุ่มนิวเจนฯ พร้อมเตรียมออกสูตรใหม่ไตรมาส 4 นี้ บริษัท คินน์ เวิลด์ไวด์ จำกัด (KINN) ผู้นำตลาดสุขภาพด้านอาหารเสริม Neutraceutical เสริมความแกร่งธุรกิจสุขภาพ เดินหน้าสร้าง New S-Curve ทุ่มงบการตลาด ชูกลยุทธ์ Wellness For Life จับมือร้านอาหาร Copper Buffet ผ่านแคมเปญใหม่ “KINN Natto X Copper Int’l Buffet” ครั้งแรกในประเทศไทย ตั้งเป้าขยายกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มวัยรุ่น และคนรักสุขภาพ เพื่อครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ในทุกผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ คินน์ พร้อมเตรียมออก 2 สูตรใหม่ไตรมาส 4 ปีนี้ นางสาวศิริพร อริยพุทธรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท คินน์ เวิลด์ไวด์ จำกัด (KINN) ผู้นำตลาดสุขภาพด้านอาหารเสริม Neutraceutical เจาะกลุ่มผู้สูงวัย Aging Society และคนรักสุขภาพ กล่าวว่า หลังจากที่ได้ผ่านช่วงสถานการณ์โควิด – 19 มาอย่างยากลำบาก ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ตระหนักในด้านการดูแลสุขภาพ และสุขอนามัยทั้งของตนเองและของส่วนรวมมากขึ้น การรักษาสุขภาพตนเองให้ดีอยู่เสมอ การทานอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน บริษัท คินน์ เวิลด์ไวด์ จึงมีความปรารถนาที่จะเติมเต็มความสุข และการมีสุขภาพดีปลอดคอเลสเตอรอลสะสมให้กับทุกคนในครอบครัว ในแคมเปญ “KINN Natto X Copper Int’l Buffet” ด้วยงบการตลาดกว่า 6 แสนบาท ผ่านการคอลแลปส์กันระหว่างแบรนด์ คินน์ นัตโตะ กับร้านอาหารสุดไฮคลาสบุฟเฟต์อาหารนานาชาติ Copper Int’l Buffet ที่โด่งดัง มีอาหารให้เลือกหลากหลาย และล้วนแล้วแต่ใช้วัตถุดิบชั้นดีมีคุณภาพ อาทิเช่น เนื้อวากิว ปลาแซลมอน หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ฯลฯ สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับแบรนด์ “คินน์” (KINN) อีกขั้น กับการเป็นแบรนด์อาหารเสริม คินน์ ที่มาจากงานวิจัยของคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล และงานวิจัยระดับสากลกับทางไบโอ ไต้หวัน และเป็นแบรนด์อาหารเสริม Neutraceutical ที่แพทย์แนะนำ และยังถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่แบรนด์ คินน์ ร่วมกับธุรกิจร้านอาหาร คอปเปอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บุฟเฟต์ ภายใต้สโลแกน “ไม่ว่ามื้อนี้จะทานเก่งแค่ไหน ก็สบายใจได้ถ้ามี KINN นัตโตะ” ถือเป็นการสร้างประสบการณ์แบบใหม่สู่การทานให้อร่อยแถมยังมีสุขภาพดีอีกด้วย นางสาวศิริพร กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัท คินน์ เวิลด์ไวด์ ได้ค้นคว้าวิจัยคุณประโยชน์ของจุลินทรีย์ Bio Longevity โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ Neutraceutical ชีวะเภสัชภัณฑ์ ที่ช่วยเสริมสร้างสุขพลานามัย ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน เพื่อส่งมอบนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดีที่สุด เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตมนุษย์ โดยคินน์ นัตโตะ เป็นผลงานวิจัยร่วมกับทางไบโอ ไต้หวัน ประเทศไต้หวัน เป็นสูตรที่สกัดจากถั่วนัตโตะธรรมชาติจากญี่ปุ่น โดยได้สารสกัดนัตโตะไคเนส ซึ่งมีความเข้มข้นมากถึง 20,000 ไฟบริโนปรินยูนิต (ซึ่งมีความเข้มข้นมากที่สุดในประเทศไทย) ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์ และลดความดัน และสารสกัด Monakolin-K ในข้าวเรสยีตส์ที่มีความเข้นข้น ช่วยละลายลิ่มเลือด อีกทั้งในสูตรคินน์ นัตโตะ ได้ร่วมทำคลินิกทดสอบ Clinical Trail ร่วมกับคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดลอีกด้วย การทานคินน์ นัตโตะ ต่อเนื่อง ยังช่วยลดการตายของเซลล์ประสาท หรือช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งงานวิจัยเกี่ยวกับลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ ยังถือเป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล คณะเทคนิคการแพทย์ อีกด้วย ทั้งนี้การร่วมมือกับทางร้านอาหาร คอปเปอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บุฟเฟต์ จะช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างและลึกมากขึ้น โดยเน้นไปที่กลุ่มนิวเจนเนอเรชั่น ที่มีความชื่นชอบอาหารนานาชาติสไตล์บุฟเฟต์ ที่หลากหลาย พรีเมี่ยม โดยมีตัวช่วยเป็น คินน์ นัตโตะ ซึ่งเป็นสูตรที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล อย่างเห็นผลชัดเจนในหนึ่งเดือน ทำให้คุณลูกค้าที่มาทานอาหารบุฟเฟต์นานาชาติ ทานได้อย่างสบายใจ โดยจัดแคปเปญทานอาหารครบ 5,000 บาท มอบอาหารเสริม คินน์ นัตโตะ มูลค่า 490 บาท จำนวน 1 กล่อง ซึ่งเป้าหมายของแคมเปญนี้ เราต้องการให้นวัตกรรมเสริมอาหารคินน์ นัตโตะ X คอปเปอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลบุฟเฟต์ ให้เข้าไปอยู่ในใจทุกคนตามสโลแกนของแบรนด์ คินน์ “เพื่อชีวิตยืนยาว อย่างยั่งยืน” (Wellness For Life) “คาดว่าจะมียอดขายตลอดแคมเปญไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ช่วยต่อยอดและสนับสนุนหน่วยธุรกิจใหม่ หรือ New S-Curve ของบริษัทฯ ได้อีกทาง หลังจากที่บริษัทดำเนินธุรกิจมา 5 ปี ตั้งแต่ปีแรกที่มีสินค้าเพียงแค่ 1 สูตรอาหารเสริม โดยระยะเวลาที่ผ่าน ทางบริษัทฯ ได้มีการค้นคว้า วิจัยกับองค์กรระดับประเทศ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งแต่ละสูตรใช้เวลาวิจัยเป็นระยะเวลาพอสมควร จนถึงปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 4 สูตร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคินน์ นัตโตะ ที่สูตรที่ได้รับการยอมรับจากแพทย์ และแพทย์แนะนำ และในไตรมาสสุดท้ายของปีจะมีตามมาอีกสองสูตร ตามโรดแมพของบริษัทที่วางแผนเป็นบริษัทอาหารเสริมชั้นนำของประเทศไทยในอนาคตที่มีการคิดค้นสูตรนิวตร้าซูติคอลผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรอื่น ๆ อีกด้วย”นางสาวศิริพร กล่าว |
วัตสัน ประเทศไทย เปิดวิสัยทัศน์ครึ่งปีหลัง 2022 เดินหน้ากลยุทธ์ O+O Platform
วัตสัน ประเทศไทย เปิดวิสัยทัศน์ครึ่งปีหลัง 2022 เดินหน้ากลยุทธ์ O+O Platform พิชิตใจขาชอปแบบไร้รอยต่อ ปักธงมุ่งสู่ผู้นำด้าน E-Commerce พร้อมชูแนวคิด 'The New Beautiful' ความงามรูปแบบใหม่ วัตสัน ประเทศไทย ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย รุกตลาดรีเทลครึ่งปี 2022 ชูกลยุทธ์ O+O Platform (Offline plus Online) เชื่อมต่อประสบการณ์การชอปปิงแบบไร้รอยต่อ พร้อมเดินหน้าเป็น The best of “both worlds” ยกระดับประสบการณ์การชอปปิงทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ครอบคลุมการซื้อสินค้าในทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคดิจิทัล ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาด Health & Beauty รวมไปถึงการเสนอแนวคิด 'The New Beautiful' นิยามความงามรูปแบบใหม่ สนับสนุนในทุกความสวยงาม ยอมรับในทุกความต่าง ก้าวข้ามมาตรฐานความงามแบบเดิมๆ (beauty standard) เพื่อปลุกความมั่นใจให้กับทุกลุคที่เป็นตัวเอง เสริมสร้างพลังและศักยภาพ ให้ตัวเอง Look Good. Do Good. Feel Great. เปล่งประกายความมั่นใจจากภายในสู่ภายนอก นายพสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในช่วงครึ่งปีหลัง 2022 เรายังคงสานต่อพันธกิจ เติมเต็มรอยยิ้มให้ลูกค้าจากวันนี้สู่วันพรุ่งนี้และในทุกๆ วัน โดยผลักดันกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลด้วยความเข้าใจ พร้อมปลุกแนวคิด “The New Beautiful” กับนิยามความงามรูปแบบใหม่ที่เปิดรับคุณค่าความสวยงามอันหลากหลายของผู้คน สะท้อนรูปลักษณ์ บุคลิกภาพและความมั่นใจโดยไม่จำกัดเพศ วัย ไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้ชีวิต ผลักดันให้ผู้บริโภคก้าวข้ามภาพจำ Beauty Standard แบบพิมพ์นิยม และส่งเสริมคุณค่าความงามที่เป็นตัวเอง ให้ตัวเอง Look Good. Do Good. Feel Great เปล่งประกายความมั่นใจจากภายในสู่ภายนอก ในส่วนของวัตสันเอง มุ่งมั่นส่งเสริมให้ทุกคนเห็นคุณค่าและความงามตามแบบฉบับและไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล ผ่านสินค้าและบริการด้านสุขภาพและความงามที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตรูปแบบต่างๆ พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจกับแนวคิด The New Beautiful เพื่อความงามที่หลากหลายต่อไป” “นอกจากนี้ วัตสัน ยังคงสานต่อบทบาทในฐานะร้านสุขภาพและความงามอันดับ 1 ของประเทศไทย ด้วยกลยุทธ์ O+O Platform เน้นสร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อหน้าร้านและออนไลน์ ที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ชอปปิ้งได้ทุกช่องทาง จากทุกที่ ทุกเวลา โดยลูกค้าที่ใช้จ่ายทั้งหน้าร้านและออนไลน์ (O+O) มีการใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าที่ซื้อเฉพาะหน้าร้านถึง 3 เท่า โดย 3 อันดับของหมวดหมู่สินค้าที่มีการเติบโตทางออนไลน์มากที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ Haircare, Health & Fitness และ Derma Skincare และจากกลยุทธ์ O+O Platform ทำให้เรามั่นใจเดินหน้าเพื่อเตรียมขึ้นแท่นเป็น The best of “both worlds” ที่เชื่อมต่อสุดยอดประสบการณ์การชอปปิงจากทั้งหน้าร้านและวัตสันออนไลน์ โดยตั้งเป้าสร้างมาตรฐานสูงสุดอย่างต่อเนื่องในตลาดด้านสุขภาพและความงามที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน” “สำหรับประสบการณ์การชอปปิงรูปแบบใหม่ที่จะติดอาวุธให้วัตสัน ประเทศไทย มีสัมพันธภาพที่ดีกับทางลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดและแน่นแฟ้นมากขึ้นนั้น เรายังคงมุ่งเน้นการให้บริการแบบ Customer Obsessed ในการตอบสนองความพึงพอใจและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับการจับจ่ายของลูกค้าที่สามารถใช้บริการของวัตสันได้ทุกที่ทุกเวลา เพิ่มเติมจากบริการ Chat & Shop ที่มี 350 สาขา นอกเหนือจากนี้ ที่ผ่านมาเราได้จับมือกับ Food Panda รุกตลาด Quick Commerce เพื่อเติมเต็มความต้องการลูกค้าที่มองหาความสะดวก รวดเร็ว และสามารถชอปได้ตลอดเวลาตามความต้องการ หรือการจับมือพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจกับ SkinX แพลตฟอร์มพบแพทย์ผิวหนังออนไลน์แบบครบวงจร เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการให้คำปรึกษาด้านผิวพรรณจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าสามารถรับยาได้ที่วัตสันได้ง่ายขึ้น” นายพสิษฐ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับสมาชิกวัตสันในประเทศไทย ปัจจุบัน เรามีจำนวนสมาชิกกว่า 7 ล้านคนทั่วประเทศ และ วัตสันจะยังคงเดินหน้าเติมเต็มรอยยิ้มให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเราพบว่าผู้บริโภคชาวไทยมีความพร้อมในการเข้าสู่ไลฟ์สไตล์การชอปปิงผ่านโลกออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเห็นได้จากการใช้ Member Virtual Card ผ่านแอปฯ Watsons TH ที่รับเสียงตอบรับที่ดีจากสมาชิกวัตสันอย่างมีนัยสำคัญ และในเร็วๆ นี้วัตสันได้เตรียมยกระดับสร้างประสบการณ์ชอปปิงให้กับเหล่าสมาชิกทั้งในแง่ของประสบการณ์ใหม่ๆ และในแง่ความคุ้มค่าเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันมากขึ้น” “ในส่วนผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของวัตสันนั้น (Watsons Own Brand) เราไม่เคยหยุดนิ่ง และยังคงเดินหน้านำนวัตกรรมต่างๆ มาปรับใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มผู้บริโภค และแนวโน้มความต้องการของตลาด อันได้แก่ การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ยืนหยัดด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ในราคาที่คุ้มค่าและจับต้องได้ พร้อมกับเพิ่มพื้นที่ให้กับตลาดที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้ วัตสันให้ความสำคัญกับตลาดการดูแลผิวและความงามสำหรับผู้ชายมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไป คำว่าสุขภาพและความงาม และการดูแลตนเองให้ดี ยุคนี้มีลูกค้าผู้ชายที่ใส่ใจภาพลักษณ์เเละดูเเลตัวเองเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก” “และเพื่อเป็นการขานรับกับนโยบายระดับโลกในด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมตาม 'Social Purpose and 2030 Sustainability Vision' ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์และพันธกิจสำคัญของ A.S. Watson Group เรายังคงให้ความสำคัญด้าน Look good. Do good. Feel great” โดยตอกย้ำด้าน Do good ผ่านผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนที่เรียกว่า Sustainable Choices ซึ่งเป็นสินค้าทางเลือกใหม่ โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปลายปี 2020 ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องการเฟ้นหาส่วนผสมที่ดีกว่า บรรจุภัณฑ์ที่ดีกว่า ส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพผ่านการทดสอบและผ่านขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของแบรนด์ในการดำเนินธุรกิจที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมในพันธกิจนี้กับบุคลากร และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจต่างๆ ในการเดินทางไปบนเส้นทางแห่ง Sustainability ร่วมไปกับเราอีกด้วย” “สุดท้ายนี้ สำหรับกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ที่ วัตสัน ประเทศไทย เดินหน้าสานต่อมาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น การจำหน่ายโบว์สีเขียว ภายใต้แคมเปญ “Watsons Green Ribbons” ซึ่งจัดขึ้นอย่างเป็นประจำต่อเนื่องทุกปีเป็นเวลา 16 ปีเพื่อมอบเงินรายได้ให้แก่สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กและสตรีที่ประสบปัญหาทั้งร่างกายและจิตใจในประเทศไทย ตลอดจนแคมเปญ Give a Smile ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการผ่าตัดให้เด็กที่มีความผิดปกติด้านปากแหว่งเพดานโหว่ โดยในปัจจุบัน สามารถคืนรอยยิ้มสู่เด็กๆ เหล่านี้ได้มากกว่า 33 คนแล้ว วัตสันจะยังคงมุ่งมั่นสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้าทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้ทุกคนดูดี ตระหนักในคุณค่าของตัวเอง รู้สึกดีต่อตนเอง คนรอบข้างและสิ่งแวดล้อมไปด้วยกันกับเรา” นายพสิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย ### เกี่ยวกับ เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป ก่อตั้งที่ฮ่องกง ในปี พ.ศ 2384 เป็นผู้นำร้านค้าปลีก ด้านสุขภาพและความงามระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการดำเนินธุรกิจกว่า 16,400 แห่งภายใต้แบรนด์ค้าปลีก 12 แบรนด์ ใน 29 ตลาด พร้อมด้วยพนักงานมากกว่า 130,000 คนทั่วโลก สำหรับปีงบประมาณ 2563 เอ. เอส.วัตสันกรุ๊ปมีรายได้รวมที่ 22 ล้านเหรียญสหรัฐ และในทุก ๆ ปี ให้บริการนักชอปมากกว่า 5.5 พันล้านคน ผ่านประสบการณ์การชอปปิงอย่างไร้รอยต่อทั้งในหน้าร้านค้าและบนออนไลน์แพลตฟอร์ม เอ.เอส.วัตสันกรุ๊ป เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มบริษัทข้ามชาติระดับโลกอย่าง ซี.เค. ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ซึ่งมีธุรกิจหลัก 4 ประเภท - ธุรกิจส่งออก, ธุรกิจการค้าปลีก, ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน, และธุรกิจโทรมนาคมในมากกว่า 50 ประเทศ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aswatson.com/our-company/o-and-o-strategy/ |
ซีทัชเปิดตัว นวัตกรรมหน้ากากฆ่าเชื้อโควิด-19 เจ้าแรกในไทย ออกแบบสำหรับองค์กรได้ ปกป้องพนักงาน
ซีทัชเปิดตัว นวัตกรรมหน้ากากฆ่าเชื้อโควิด-19 เจ้าแรกในไทย ออกแบบสำหรับองค์กรได้ ปกป้องพนักงาน คุ้มค่าตลอดการใช้งาน เปิดประเทศพร้อมกลับสู่ชีวิตวิถีใหม่อย่างปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด ล่าสุดสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ซีทัช เปิดตัว Z-Touch Mask To Go นวัตกรรมหน้ากากผ้าฆ่าเชื้อโควิด-โอไมครอน ได้มากกว่า 99% ด้วยเทคโนโลยีซิลเวอร์ (Silver Technology) สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ ใส่ใช้งานได้ถึง 7 วัน โดยไม่ต้องซักและมีอายุการใช้งานนานถึง 1 ปี พร้อมผลิต ออกแบบและสกรีนโลโก้ ฟรี สำหรับลูกค้าองค์กรและลูกค้าทั่วไป ตั้งแต่ 50 ชิ้น ขึ้นไป ในราคาพิเศษชิ้นละ 150 บาท คุ้มค่ากับราคาตลอดอายุการใช้งาน โดยเฉลี่ยราคาไม่ถึง 1 บาท ต่อ วัน เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึง วันที่ 1 มิถุนายน 2565 โดย Z-Touch Mask To Go ได้รับการรับรองผลการฆ่าเชื้อจากหลายสถาบันชั้นนำ ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ Vismederi จากประเทศอิตาลี รับรองผลการฆ่าเชื้อ SARS-CoV-2 ได้กว่า 99.9% OEKO-TEX จากประเทศสวีเดน รับรองความปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม BOKEN จากประเทศญี่ปุ่น รับรองผลการฆ่าเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ H3N2 ได้กว่า 99.9% และยังคงฆ่าเชื้อได้กว่า 99.8% มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี รับรองผลการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย E.coli ได้กว่า 99.9% และยังคงฆ่าเชื้ออื่นๆ ได้กว่า 99.9% มหาวิทยาลัยมหิดล รับรองผลการฆ่าเชื้อ Human Coronavirus ได้กว่า 99.9% ฯลฯ สำหรับจุดเด่นของ Z-Touch Mask To Go นั้น ผลิตจากวัสดุผ้าคอตตอน (Cotton) ผสมผ้าโพลีเอสเตอร์ (Polyester) ที่นำมาผ่านกระบวนการพิเศษ ผนวกกับเทคโนโลยีซิลเวอร์ (Silver Technology) ทำให้สามารถฆ่าได้ทั้งเชื้อไวรัสโควิด โอไมครอนและสายพันธ์อื่นๆ รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคอื่นๆ และยังช่วยลดการเกิดสิว พร้อมทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถใช้งานได้ซ้ำติดต่อกันถึง 7 วัน ต่อการซัก 1 ครั้ง โดยไม่เกิดกลิ่นอับและยังคงประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อถึงแม้จะซักทำความสะอาดมากถึง 90 ครั้ง(มีอายุการใช้งานนานถึง 1 ปี) นอกจากนี้ยังออกแบบให้สวมใส่ง่าย สบาย หายใจสะดวก และมีขนาดที่กระชับเข้ากับใบหน้า ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกของโลก โดยฝีมือคนไทย ปัจจุบันมีหลายองค์กรได้ใช้บริการ ซีทัชแมสก์ เพราะคุ้มค่าและยังเสริมภาพลักษณ์ให้กับองค์กร เช่น Siam Laser Clinic(SLC), โรงพยาบาลภูมิพล, PSG Jewelry, Thai-Denmark, รถไฟฟ้าสายสีแดง(SRT Red Lines) ผู้ที่สนใจข้อมูลผลิตภัณฑ์ ซีทัช สามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ www.ztouchbrand.com / Facebook https://www.facebook.com/ztouchofficial โทร 065-717-5816 หรือ สั่งซื้อได้ที่ Line Official : @ztouchofficial , https://bit.ly/3vNZWtG Facebook : Z-Touch Thailand , https://bit.ly/3sSh7Zt Shopee : ztouch_officialstore , https://bit.ly/361UxVf Lazada : https://bit.ly/3HRB2Mh |
อัลลี่ จัดกิจกรรมเปิดท้องทะเลไทย หัวใจรักษ์โลก ชวน นท เดอะสตาร์ พร้อมเหล่ายูทูปเบอร์สาว ร่วมปลูกปะการังและทดสอบกันแดด
อัลลี่ จัดกิจกรรมเปิดท้องทะเลไทย หัวใจรักษ์โลก ชวน นท เดอะสตาร์ พร้อมเหล่ายูทูปเบอร์สาว ร่วมปลูกปะการังและทดสอบกันแดดใหม่ ปกป้องผิวจากรังสียูวีแบบไร้สารอันตรายต่อปะการัง สัตว์ทะเลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อัลลี่ (Allie) แบรนด์ผลิตภัณฑ์กันแดดชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น โดย บริษัท คาเนโบ คอสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำเสนอความงามในรูปแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด “ความงาม เพื่อโลกที่ยังยืน” ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์กันแดดใหม่ปกป้องผิวจากรังสียูวี พร้อมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไร้สารอันตรายต่อปะการังและสัตว์ทะเล พร้อมชวน “นท เดอะสตาร์” นางฟ้าเกาะเต่าและเหล่ายูทูปเบอร์สาวร่วมกิจกรรม Allie เปิดท้องทะเลไทย หัวใจรักษ์โลก แลกเปลี่ยนความรู้ด้านการอนุรักษ์ทะเล พร้อมร่วมกันปลูกปะการังและทดสอบคุณสมบัติครีมกันแดดใหม่ ณ อุทยานใต้ทะเล เกาะขาม สัตหีบ จังหวัดชลบุรี กิจกรรม “Allie เปิดท้องทะเลไทย หัวใจรักษ์โลก” เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและท้องทะเล ต่อเนื่องจากที่ อัลลี่ ประเทศญี่ปุ่น จัดทำโครงการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรของฮาวาย ในการจัดกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ช่วยฟื้นคืนทะเลให้กลับมางดงาม ภายใต้แนวคิด “ความงาม เพื่อโลกที่ยังยืน” นอกจากจัดกิจกรรมดังกล่าวแล้ว อัลลี่ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์กันแดดให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกส่วนของผลิตภัณฑ์ ทั้งการยกเลิกการใช้สารดูดซับรังสียูวีจำพวก OMC ที่ประกอบด้วยสาร Octinoxate, Oxybenzone, 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC) และ Butylparaben ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเลบางชนิดและขัดขวางการเจริญเติบโตของปะการัง โดย อัลลี่ ได้พัฒนานวัตกรรมเนื้อเจลใหม่ที่สามารถจับตัวกันเป็นโครงสร้างแบบตาข่าย เกิดเป็นชั้นฟิล์มบางๆ ช่วยกันแดด ยึดติดผิวได้ดีและให้ผลในการดูดซับรังสียูวีได้เช่นเดียวกับสาร OMC อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพการกันแดด SPF50+/PA++++ และมีความเบาสบาย ไม่หนักผิว ป้องกันการเสียดสีและกันน้ำได้สูงสุด รวมไปถึงในส่วนของบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับกิจกรรม “Allie เปิดท้องทะเลไทย หัวใจรักษ์โลก” ที่จัดขึ้นที่ประเทศไทยนั้น เนื่องจากประเทศไทยมีทรัพยากรทางทะเลที่สมบูรณ์ มีทะเลที่สวยงาม มีความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล สัตว์ทะเลและปะการัง ที่ต้องช่วยกันรักษาไว้ให้เป็นสมบัติของโลก โดย อัลลี่ เลือกเปิดตัวกิจกรรมครั้งนี้ ณ อุทยานใต้ทะเล เกาะขาม สัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพราะเกาะขามเป็นแห่งแรกที่มีการเคลื่อนย้ายปะการังที่กำลังเสื่อมโทรม มาไว้ที่เกาะขามเพื่อพัฒนาและเสริมสร้างแนวปะการังในบริเวณที่เสื่อมโทรมและตายไปให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นแหล่งเพาะพันธ์และปลูกปะการังที่สำคัญของไทยอีกด้วย โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นมีการเชิญคณะผู้บริหาร อัลลี่ ประเทศไทย พร้อมด้วย นท พนายางกูร (นท เดอะสตาร์) และเหล่ายูทูปเบอร์สาว มาร่วมเรียนรู้และแลกเปลี่ยนมุมมองในการอนุรักษ์ปะการังและท้องทะเลไทย กับ อาจารย์ประสาน แสงไพบูลย์ ผู้คิดค้นวิธีการปลูกปะการังเขากวางผ่านท่อพีวีซี ถึงเทคนิคและวิธีการฟื้นฟูปะการัง พร้อมร่วมลงมือปลูกประการังเขากวางในพื้นที่อุทยานใต้ทะเลเกาะขามสัตหีบ รวมถึงร่วมกันทดสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดใหม่จาก อัลลี่ ระหว่างทำกิจกรรมในครั้งนี้อีกด้วย ด้าน นท พนายางกูร หรือ นท เดอะสตาร์ ซึ่งพักหลังเดินหน้ากับงานด้านอนุรักษ์ท้องทะเลที่เกาะเต่าอย่างเต็มตัว จนได้รับฉายา นางฟ้าเกาะเต่า กล่าวถึงที่มาของงานอนุรักษ์และการร่วมกิจกรรม “Allie เปิดท้องทะเลไทย หัวใจรักษ์โลก” ว่า “เริ่มจากเป็นคนชอบดำน้ำ แล้วอยากทำอะไรที่ลึกซึ้งมากขึ้น เลยอยากเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะพอเราดำไปถึงจุดหนึ่งเรารู้ว่า แค่ไม่กี่ปีปะการังเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ตายไปเยอะมาก จากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะของน้ำเอง หรือจากการท่องเที่ยว ทุกวันนี้เลยไม่ใช่ดำน้ำเพื่อความสวยงามอย่างเดียว แต่ดำเพื่อให้เข้าใจว่า สิ่งแวดล้อมตรงนั้นเป็นอย่างไรและเราจะดูแลมันอย่างไรได้บ้าง ถ้านับระยะเวลาที่หันมาทำงานด้านนี้อย่างจริงจังก็ประมาณ 3 ปีแล้ว กิจกรรมที่ได้มาร่วมกับ อัลลี่ ในวันนี้ รู้สึกชื่นชมความใส่ใจและการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมของอัลลี่ ทำให้รู้สึกสบายใจที่สามารถใช้ครีมกันแดดที่เป็นมิตรต่อปะการังและสัตว์ทะเล พอได้รับการติดต่อให้มาร่วมกิจกรรม นท ทราบถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และแนวคิดของโครงการ ทำให้ตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมในทันที ยิ่งได้ทดลองใช้ระหว่างจัดกิจกรรมเห็นได้เลยว่ากันแดดได้ดีมาก ติดผิวดี ไม่เหนียวตัวและยังได้รับความรู้เกี่ยวกับการปลูกและดูแลรักษาปะการัง ซึ่งจะนำไปปรับใช้กับงานอนุรักษ์ที่เกาะเต่าด้วย ส่วนตัวอยากให้มีกิจกรรมในลักษณะนี้เกิดขึ้นเยอะๆ เพื่อให้คนเข้าใจถึงความสัมพันธ์และความสำคัญของธรรมชาติ เรากับธรรมชาติต้องอยู่ด้วยกันได้ ไม่ใช่เอาจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่ต้องคืนกลับให้เค้าด้วย รักตัวเองก็อย่าลืมดูแลตัวเองและสิ่งแวดล้อมด้วย เราต้องอยู่กับโลกใบนี้ มันเป็นโลกใบเดียวที่เรามี ถ้าเราไม่ดูแลเค้าแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน เวลาไปเที่ยวเอาอะไรไป เอากลับมาให้หมด อย่าทิ้งเอาไว้ ดูแต่ตามืออย่าจับทุกๆ อย่างใต้น้ำ ต้องขอบคุณ อัลลี่ แทนคนไทยทุกคนอีกครั้ง ที่ให้ความสำคัญกับทะเลไทยและเลือกเป็นสถานที่จัดกิจกรรมเพื่อสารต่อแนวคิดนี้ไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป |
1-10 of 144