ธุรกิจของบริษัท ฟิลิปส์(ประเทศไทย) จำกัดประกอบไปด้วย 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนชิ้นเล็ก (Personal Health) และกลุ่มธุรกิจเครื่องมือแพทย์ (Health Systems) ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ภายใต้ธุรกิจหลอดไฟของ บริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อนที่จะแยกบริษัทออกจากกันเมื่อวันที่1กุมภาพันธ์ 2559 ฟิลิปส์ ประเทศไทย ยังคงครองตำแหน่งที่แข็งแกร่งในตลาดเฮลท์แคร์ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านคลินิคและผู้ป่วย เพื่อตอกย้ำในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพระดับโลกโดยมีวิสัยทัศน์ในการตั้งเป้ายกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนถึง3พันล้านคนภายในปี พ.ศ.2568 เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพของฟิลิปส์ถูกขับเคลื่อนด้วยโซลูชั่นและนวัตกรรมด้านสุขภาพอย่างครบวงจรเพื่อส่งเสริมให้ผู้คนใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งกลุ่มธุรกิจเครื่องมือแพทย์และธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนชิ้นเล็กโดยครอบคลุมทุกด้านของสุขภาพดังนี้ ความเป็นอยู่ที่ดี(HealthyLiving), การป้องกัน (Prevention) การตรวจวินิจฉัย (Diagnosis) การรักษา(Treatment) และ การดูแลรักษาตัวเองที่บ้าน(Home Care) โดยภาพรวมธุรกิจเฮลท์แคร์ในประเทศไทย มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นเนื่องด้วยปัจจัยหลักๆคือการที่ประเทศไทยเข้าสู่ยุคของสังคมผู้สูงอายุและการที่ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AECยังส่งผลให้ประเทศเพื่อนบ้านหันมาใช้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นายวิโรจน์วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สัดส่วนของการประกันสุขภาพในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 92.5 ในปี พ.ศ. 2545 เป็นร้อยละ 99.8 ในปี พ.ศ. 2558 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 8-9 ต่อปี ค่ารักษาพยาบาลมีมูลค่า 6.5แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 80:20 ระหว่างการใช้จ่ายภาครัฐบาลและภาคเอกชนตามลำดับ ขณะที่การบริการสาธารณสุขได้รับการพัฒนาและขยายไปครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ รัฐบาลได้จัดตั้งคลินิกและโรงพยาบาลแห่งใหม่ขึ้นเพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสถานพยาบาลในประเทศไทยประมาณ 17,000 แห่งโดยร้อยละ70 เป็นของรัฐบาล ขณะที่อีกประมาณ 1,300 แห่งเป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหรือโรงพยาบาลเฉพาะทางขั้นสูง[1] รัฐบาลใช้จ่ายเงินร้อยละ 14ของงบประมาณทั้งหมดในด้านการแพทย์และสาธารณสุขเหล่านี้รวมถึงเงินเดือนของบุคลากรทางการแพทย์ โครงสร้างพื้นฐาน และเครื่องมือแพทย์ต่างๆ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 4.6 ของ GDP ประเทศ เพื่อเสริมสร้างประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย รัฐบาลมีนโยบายที่จะช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมาย "ประเทศไทยศูนย์กลางสุขภาพและบริการทางการแพทย์" ภายในระยะเวลา 10 ปี แผนยุทธศาสตร์สิบปีเริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ.2560-2568ดิจิตัลเฮลท์แคร์หรือการนำเอาเทคโนโลยีด้านดิจิตัลมาช่วยในด้านการแพทย์และสาธารณสุขรวมไปถึงการบริการด้านสุขภาพ กลายเป็นสิ่งกุญแจสำคัญในยุคเฮลท์แคร์ 4.0 ซึ่งจะผลักดันอุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์ให้ก้าวหน้าครับ” |
Health & Beauty >