IT



Hitachi Energy เปิดตัวผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยสูง เพื่อรองรับการเชื่อมต่อตลอดเวลา สำหรับระบบไฟฟ้าสมัยใหม่และ Smart City

posted Nov 4, 2022, 1:07 AM by Maturos Lophong




Hitachi Energy เปิดตัวผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยสูง เพื่อรองรับการเชื่อมต่อตลอดเวลา
สำหรับระบบไฟฟ้าสมัยใหม่และ Smart City


TRO610 เร้าเตอร์ขนาดกะทัดรัดแบบไร้สายสำหรับงานภาคอุตสาหกรรม ที่สามารถช่วยให้เข้าถึงอุปกรณ์ภาคสนามเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของระบบและรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น


Hitachi Energy เปิดตัวเร้าเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุด TRO610 ที่รองรับระบบเซลลูลาร์สำหรับงานระบบสื่อสาร การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และถูกดีไซน์มาเพื่อรองรับการสื่อสารของอุปกรณ์ IOT (Internet of Things) ในภาคอุตสาหกรรม งานสาธารณูปโภค เมืองอัจฉริยะ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ภาคการผลิตและอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ โดยที่ TRO610 เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สื่อสารไร้สายของ Hitachi Energy ที่รองรับระบบสื่อสารในอนาคตให้มีเสถียรภาพ ความน่าเชื่อถือ ทนทาน และการตอบสนองที่รวดเร็ว สำหรับอุตสาหกรรมที่เป็นแกนหลักและการดำเนินงานด้านสาธารณูปโภค

เนื่องด้วยความต้องการของอุปกรณ์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นในระบบจำหน่าย TRO610 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยสามารถรองรับและครอบคลุมอุปกรณ์และการใช้งานที่หลากหลาย ด้วยการประมวลผลข้อมูลขั้นสูงและการเชื่อมต่อที่มีความปลอดภัย ทำให้ TRO610 มีส่วนช่วยในการวางรากฐานของระบบไฟฟ้าสมัยใหม่และ Smart City ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

Massimo Danieli กรรมการผู้จัดการส่วนธุรกิจ Grid Automation ของ Hitachi Energy กล่าวว่า “ระบบการเชื่อมต่อขั้นสูงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นตัวเลือกที่มีบทบาทสำคัญของการพัฒนาดำเนินงานอย่างยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมของระบบสาธารณูปโภคและอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นโซลูชั่นในรูปแบบต่างๆ เช่น คลาวด์ หรือรูปแบบอื่นๆ” อีกทั้งยังเสริมด้วยว่า “TRO610 จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพการเข้าถึงอุปกรณ์ภาคสนามต่างๆ ตอบสนองความต้องใหม่ๆของลูกค้า และลดต้นทุนของการติดตั้งระบบอีกด้วย”


Jim Frazer รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทวิจัยเทคโนโลยีชั้นนำด้าน Smart City และที่ปรึกษา ARC Advisory Group กล่าวว่า “ด้วยขนาดกะทัดรัดและมีความทนทานสูง TRO610 สามารถครอบคลุมการสื่อสารและบริการในวงกว้างสำหรับระบบต่างๆใน Smart City ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงระบบขนส่ง ระบบจัดการน้ำ ระบบจัดการน้ำเสีย ระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า” ทั้งยังกล่าวเสริมว่า “ความสามารถในการประมวลผลของ TRO610 รวมถึงการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ล้ำสมัย การเชื่อมต่อด้วย Bluetooth® ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และการเชื่อมต่อด้วยเซลลูลาร์ตลอดเวลา

เหมาะมากสำหรับการใช้งานในระบบสาธารณูปโภค ปิโตรเคมี และระบบนิเวศการผลิต”


TRO610 cellular router



TRO610 เป็นเร้าเตอร์ขนาดเล็ก ประหยัด ทนทาน เหมาะสำหรับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะการประมวลผลขั้นสูง สามารถรองรับการใช้งานที่ผู้ใช้งานกำหนดเองและรองรับการเชื่อมต่อเซ็นเซอร์ผ่าน Bluetooth® อีกด้วย



อ้างถึงข้อกำหนดทางเทคนิค 3GPP1 (3rd Generation Partnership Project) TRO610 สามารถทำงานบนเครือข่ายสาธารณะระบบเซลลูลาร์แบบ 3G, 4G และ 5G ในหลายความถี่ คลื่นความถี่ภาคประชาชน (Citizens Broadband Radio Service; CBRS) ระบบ AnterixTM รวมถึงคลื่นความถี่ 410Mz และ 450MHz ซึ่ง TRO610 เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับระบบส่ง และระบบจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งอุปกรณ์จำเป็นที่จะต้องผ่านและรองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางเทคนิคตามมาตรฐาน IEEE 1613 และ IEC 61850


ผู้ใช้งานสามารถจัดการ TRO610 ได้อย่างง่ายดายผ่านซอร์ฟแวร์ระบบควบคุมและสั่งการ SuprOS ของ Hitachi Energy โดยซอร์ฟแวร์ SuprOS จะช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้งอุปกรณ์ไร้สาย รวมถึง RTU (Remote Terminal Units) และรองรับการจัดการระบบเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ในระบบอีกด้วย


TRO610 รองรับการใช้งานที่ทันสมัยต่างๆ สำหรับ Smart City เช่น สถานีชาร์จ EV ระบบตรวจสอบ ด้านสิ่งแวดล้อม ระบบการจัดการจราจร และความปลอดภัยสาธารณะ โดยเฉพาะสำหรับงานสาธารณูปโภค ด้านไฟฟ้านั้น TRO610 ของ Hitachi Energy สามารถติดตั้งในระบบตรวจสอบของอุปกรณ์การจัดเก็บพลังงาน เซอร์กิตเบรกเกอร์ รีโคลสเซอร์ ระบบตรวจสอบแรงดันไฟฟ้า และระบบตรวจสอบสถานีไฟฟ้าในระบบจำหน่ายและอื่นๆ โดยเครือข่ายการเชื่อมต่อแบบเซลลูลาร์ตลอดเวลากับอุปกรณ์ภาคสนามจะช่วยส่งเสริมการใช้งานด้านการจัดการพลังงานและการดำเนินงานด้านระบบจำหน่ายของระบบไฟฟ้า ในกรณีอุตสาหกรรมด้านพลังงานเช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และอุตสาหกรรมเหมืองแร่ TRO610 ช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์จากระยะไกล เช่น หัวหลุมการผลิต (Wellheads) ถังเก็บ ท่อส่งก๊าซ เซ็นเซอร์ ยานพาหนะสำหรับการใช้งานในเหมือง และการขนส่งไร้คนขับอื่นๆในพื้นที่ชนบท และพื้นที่ห่างไกลภายใต้สภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยอีกด้วย


กลุ่มผลิตภัณฑ์ไร้สาย Tropos ซีรีส์ TRO600 ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่รองรับระบบเซลลูลาร์ที่หลากหลาย รวมถึงเร้าเตอร์รุ่นไฮบริด TRO620 ที่รวมเทคโนโลยีการสื่อสารแบบเซลลูลาร์ เข้ากับฟังก์ชันแมชบรอดแบนด์ภายใต้สิทธิบัตรของ Hitachi Energy และการคำนวณขั้นสูงเข้าด้วยกัน



หมายเหตุถึงบรรณาธิการ :

1. The 3rd Generation Partnership Project (3GPP) เป็นคำที่ครอบคลุมสำหรับองค์กรมาตรฐานที่

พัฒนาโปรโตคอลสำหรับอุปกรณ์โทรคมนาคมเคลื่อนที่

Links:

1. Wireless Networks | Hitachi Energy

2. TRO620 | Hitachi Energy



เกี่ยวกับ Hitachi Energy

Hitachi Energy ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่กำลังก้าวไปสู่อนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน เราให้บริการลูกค้าด้านระบบสาธารณูปโภค ภาคส่วนอุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยนวัตกรรมและบริการที่ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่า ร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรเราเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีและเป็นผู้นำงานด้านดิจิทัลที่จำเป็นในการเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่อนาคตที่ปราศจากคาร์บอน เรากำลังขับเคลื่อนระบบพลังงานของโลกให้มีความยั่งยืน ยืดหยุ่น และปลอดภัยมากขึ้น พร้อมกับการสร้างสมดุลด้านคุณค่าทางสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ Hitachi Energy มีผลงานที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วอย่างแพร่หลายมากกว่า 140 ประเทศ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีพนักงานประมาณ 40,000 คนใน 90 ประเทศทั่วโลก มีผลประกอบการทางธุรกิจประมาณหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

https://www.hitachienergy.com

https://www.linkedin.com/company/hitachienergy

https://twitter.com/HitachiEnergy



เกี่ยวกับ Hitachi, Ltd.

Hitachi ขับเคลื่อนธุรกิจนวัตกรรมทางสังคม สร้างสังคมที่ยั่งยืนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี เราจะแก้ปัญหาที่ท้าทายของลูกค้าและสังคมด้วยโซลูชันของ Lumada ที่ใช้ประโยชน์จาก IT, OT (Operational Technology) และผลิตภัณฑ์ ภายใต้โครงสร้างธุรกิจของ Digital Systems & Services, Green Energy & Mobility, Connective Industries และ Automotive Systems ด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความยั่งยืน ดิจิทัล และนวัตกรรม เราตั้งเป้าที่จะเติบโตผ่านความร่วมมือกับลูกค้าของเรา รายได้รวมของบริษัทสำหรับปีงบประมาณ 2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565) มีจำนวนทั้งสิ้น 10,264.6 พันล้านเยน (84,136 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยมีบริษัทในเครือ 853 แห่งและพนักงานประมาณ 370,000 คนทั่วโลก หากต้องการ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hitachi โปรดเข้าชมเว็บไซต์ของบริษัทที่ https://www.hitachi.com

ซีเนียร์คอม เปิดตัว ‘H-METER’ P-Loan แพลตฟอร์มอนุมัติสินเชื่อรายย่อยแบบครบวงจร พลิกโฉมวงการสินเชื่อส่วนบุคคล

posted Oct 5, 2022, 1:28 AM by Maturos Lophong



ซีเนียร์คอม เปิดตัว ‘H-METER’ P-Loan

แพลตฟอร์มอนุมัติสินเชื่อรายย่อยแบบครบวงจร พลิกโฉมวงการสินเชื่อส่วนบุคคล

4 ตุลาคม 2565 - กรุงเทพฯ - ซีเนียร์คอม สบช่อง สินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) เติบโตหลังแบงก์ชาติปลดล็อกเงื่อนไข หนุนผู้ประกอบการนอนแบงก์เกิดใหม่ เพิ่มโอกาส “คนตัวเล็ก” เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เปิดตัว ‘H-METER’ P-Loan แพลตฟอร์มอนุมัติสินเชื่อรายย่อยแบบครบวงจร ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว จับกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่และธุรกิจเช่าซื้อเดิม ก้าวสู่ Fintech กลุ่มลูกค้า Identity และกลุ่มลูกค้า Performance ชูจุดแข็งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น ติดตั้งเร็ว ใช้งานง่าย ฟีเจอร์ครบ ตั้งเป้าปิดปี 2566 มีลูกค้า 20 ราย

นายสมเกียรติ อึงอารี ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ซีเนียร์คอม จำกัด กล่าวว่า หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการจำนวนมาก สามารถเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) ได้ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหม่จำนวนมากสู่ตลาด ทำให้ซีเนียร์คอมเห็นโอกาสทางการตลาดในธุรกิจใหม่นี้ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ชื่อว่า‘H-METER’ P-Loan เป็นแพลตฟอร์มการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อรายย่อยแบบครบวงจร (Instant Personal Loan Online Platform) ที่มาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้บริการกับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลในกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ หรือกลุ่ม Unserved กลุ่มที่เข้าไม่ถึงบริการสินเชื่อ เช่น อยู่ในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลเข้าไม่ถึงสาขา เช่น กลุ่มเกษตรกร แรงงานนอกระบบ เป็นต้น และ Underserved หรือกลุ่มที่ไม่ต้องการใช้บริการสินเชื่อ อาจติดปัญหาด้านการขาดความรู้และความเข้าใจด้านการเงิน (Financial literacy) ด้วยการประยุกต์ใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ในรูปแบบดิจิทัลมาใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อและประเมินความสามารถที่จะชำระหนี้




ทั้งนี้ ซีเนียร์คอม เป็นบริษัทผู้นำทางด้านซอฟต์แวร์ ที่ให้บริการกับธุรกิจ 2 ด้าน คือ ซอฟต์แวร์การจัดการด้านยานยนต์และซอฟต์แวร์การจัดการด้านการเงินที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 30 ปี จึงมองเห็นโอกาสในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เป็นข้อมูลอำนวยความสะดวกให้กลุ่มธุรกิจที่ต้องการเปิดให้บริการสินเชื่อสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยต้นทุนที่สมเหตุสมผล อีกทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้กับ “คนตัวเล็ก” ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศหมุนเวียนได้มั่งคงและดีขึ้น

“เราเป็นบริษัทที่มีความกระตือรือร้นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และมองว่าการท้าทายเป็นโอกาสที่เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ของ Senior Com ทุกชิ้น จึงใช้งานได้จริงและเป็นที่รู้จักกันดีในตลาด” นายสมเกียรติ กล่าว

‘H-METER' P-Loan มี 2 แบบ สำหรับกลุ่มลูกค้า Identity และกลุ่มลูกค้า Performance โดยที่ ‘H-METER' P-Loan สำหรับกลุ่มลูกค้า Identity เหมาะกับธุรกิจที่มีจำนวนผู้ใช้งานไม่ซับซ้อนมาก เป็นธุรกิจขนาดกลางในต่างจังหวัด ระยะเวลาในการติดตั้งพร้อมใช้งานราว 6เดือน ต้นทุนติดตั้งทั้งระบบรวมค่าบริการตกประมาณตั้งแต่ 2 - 5 ล้านบาท และ ‘H-METER' P-Loan สำหรับกลุ่มลูกค้า Performance เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ ระยะเวลาในการติดตั้งพร้อมใช้งานราว 9 เดือน ต้นทุนติดตั้งทั้งระบบรวมค่าบริการเริ่มต้น 7 - 20 ล้านบาท




จุดแข็งของ ‘H-METER' P-Loan ประกอบด้วย

· ‘H-METER' P-Loan มีฟีเจอร์ให้ผู้ประกอบธุรกิจใช้ข้อมูลทางเลือก เช่น ประวัติการชำระค่าสินค้าและบริการหรือใช้ข้อมูลหลายประเภทในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อส่วนบุคคล แทนการใช้เอกสารหลักฐานรายได้ ขอหลักทรัพย์ค้ำประกัน รวมถึงมีการตรวจสอบประวัติของผู้กู้จากเครดิตบูโร และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการให้บริการและอนุมัติสินเชื่อตั้งแต่ยื่นขอสินเชื่อ ยืนยันตัวตนลูกค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ประเมินความเสี่ยงของลูกค้า จนถึงการเบิกเงิน และชำระหนี้ผ่านบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)

· ‘H-METER' P-Loan จะช่วยให้ผู้ประกอบการสินเชื่อส่วนบุคคล สามารถช่วยให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ กลุ่มที่ไม่สามารถพิสูจน์รายได้ และกลุ่มที่ไม่มีทรัพย์สินที่สามารถใช้เป็นหลักประกัน สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ประกอบธุรกิจเองสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลทางเลือกต่าง ๆ ในการให้บริการ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมถึงช่วยสร้างข้อมูลในระบบการเงินให้กับลูกค้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการใช้บริการทางการเงินอื่น ๆ ในอนาคต

· ‘H-METER’ P-Loan สามารถติดตั้งไว้บนแพลตฟอร์มคลาวด์ หรือติดตั้งลงในระบบเซิร์ฟเวอร์ (on premise) ได้พัฒนามาปีกว่า และได้ติดตั้งให้ลูกค้าไปหลายรายแล้ว จุดเด่นของระบบนี้คือสามารถติดตั้งและใช้งานได้ในเวลาสั้น ใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์ครบ

· ฟีเจอร์หลัก ๆ ของ ‘H-METER’ P-Loan ได้แก่ การทำ pre-credit scoring และ credit scoring การยืนยันตัวตน การจัดกลุ่มความเสี่ยง การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA -Personal Data Protection Act) ครอบคลุมการต่อ API ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ มีระบบ dashboard สำหรับการทำงานของ FCC (Field Credit Control) มีข้อความแจ้งเตือนให้ลูกค้าผู้ขอสินเชื่อผ่านทาง LINE Connect และ SMS รวมถึงคำนวณเบี้ยปรับและวิธีการตัดชำระตามธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นต้น

· ด้วยฟีเจอร์และการปฏิบัติที่ดี ทำให้ ‘H-METER’ P-Loan สามารถช่วยให้กระบวนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทำได้ไว มีความปลอดภัย และถูกต้องตามระบบ ซึ่งจะช่วยให้สามารถอนุมัติปล่อยสินเชื่อได้จำนวนมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อของผู้ประกอบการดีขึ้น กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ ‘H-METER’ P-Loan คือ นักลงทุนหรือผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่สนใจ Fintech และผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อเดิมที่ต้องการขยายฐานผลิตภัณฑ์สู่สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล สำหรับ ‘H-METER’ P-Loan นั้น ปัจจุบันมีลูกค้าแล้วจำนวนหนึ่ง อาทิ บริษัทลูกของธนาคารขนาดใหญ่ บริษัท ลิสซิ่งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทลิสซิ่งรถยนต์รายใหญ่ เป็นต้น

ทั้งนี้ ซีเนียร์ คอม ตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปี 2566 นี้จะมีผู้ประกอบการใช้ ‘H-METER’ P-Loan จำนวน 20 ราย ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) เป็นธุรกิจใหม่ที่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่เป็นแพลตฟอร์มการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อรายย่อยแบบครบวงจรในตลาด ซึ่ง ‘H-METER' P-Loan จะเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่พัฒนาโดยบริษัทซอฟต์แวร์ไทยที่สามารถปรับแต่งฟีเจอร์ตามความต้องการของลูกค้าได้

นายสมเกียรติ กล่าวว่า เชื่อว่า ‘H-METER' P-Loan จะช่วยให้ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจเดิมสามารถขยายฐานบริการสู่บริการสินเชื่อส่วนบุคคลโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ช่วยให้เกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้าสู่ตลาดทางการเงิน รวมถึงช่วยลดหนี้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในที่สุดจะสามารถช่วยให้ประชาชนมีโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อและบริการทางการเงินอื่น ๆ ในอนาคตได้ทั่วถึงมากขึ้น

MOGEN จับมือ IoThings เปิดตัว “IoT Smart Living Solution” โซลูชั่นสมาร์ทโฮม ตอบโจทย์ตลาดที่อยู่อาศัยยุคใหม่

posted Jul 31, 2022, 10:52 PM by Maturos Lophong



MOGEN จับมือ IoThings เปิดตัว “IoT Smart Living Solution”

โซลูชั่นสมาร์ทโฮม ตอบโจทย์ตลาดที่อยู่อาศัยยุคใหม่ คาดยอดขาย 100 ล้านในปี 2023

MOGEN (โมเก้น) หนึ่งในผู้นำด้านตลาดสุขภัณฑ์ และ Market Leader สำหรับ Bathroom Furniture ร่วมกับ IoThings (ไอโอธิงส์) ผู้นำเทคโนโลยีด้าน Internet of Things (IoT) เปิดตัว “IoT Smart Living Solution” โซลูชั่นสมาร์ทโฮม สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด หรือสำนักงานสมัยใหม่

บริษัท MOGEN (ประเทศไทย) จำกัด เติบโตอยู่ในตลาดมา 19 ปี Product เน้นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการสินค้าตกแต่งบ้านที่มีความเฉพาะตัวมากขึ้นและสามารถออกแบบ Customized ให้ลงตัวกับพื้นที่ได้ง่าย แต่ยังคงรูปแบบงานดีไซน์ที่สวยงามมีฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างครบครันและตอบรับผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะตัว ซึ่ง ณ ปัจจุบัน โมเก้นได้มองเห็นเป้าหมายในอนาคตที่กว้างขึ้น จึงก้าวเข้าสู่ Business Solution ใหม่ที่จะขยายฐานธุรกิจที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและจะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเราได้คัดสรร Partner ซึ่งเป็นบริษัทที่มีสินค้าและเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดนเด่นด้านนวัตกรรม มีผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐาน มีสินค้าที่น่าเชื่อถือและน่าสนใจในตลาด รวมไปถึงกลุ่มสินค้า Smart Appliance ซึ่งครั้งนี้ บริษัท MOGEN (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมกับ บริษัท ไอโอธิงส์ จำกัด (loThings Company Limited) ผู้นำเทคโนโลยีด้าน Internet of Things (IoT) โดยมีความสามารถในการพัฒนาซอฟแวร์ และแพลตฟอร์มอัจฉริยะ รวมถึงการพัฒนาฮาร์ดแวร์เพื่อให้รองรับกับแพลตฟอร์มได้อย่างไร้รอยต่อ เปิดตัว “IoT Smart Living Solution” โซลูชั่นสมาร์ทโฮม สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด หรือสำนักงานสมัยใหม่ เนื่องจากในยุคปัจจุบันที่ตลาดของสินค้า Technology เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างมาก โดยในปี 2022 ขนาดของตลาดสมาร์ทโฮมจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท ในขณะที่การเข้าถึงสมาร์ทโฮมในประเทศไทยนั้นยังมีเพียง 12.9% ของปริมาณที่อยู่อาศัยทั้งหมด สะท้อนให้เห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจสมาร์ทโฮมอย่างเห็นได้ชัด โดยในอนาคตอันใกล้สมาร์ทโฮมจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม การใช้งานสมาร์ทโฮมในปัจจุบันยังมีอุปสรรคบางประการที่ทำให้การเข้าถึงอุปกรณ์สมาร์ทโฮมนั้นยังไม่เร็วเท่าที่ควร เช่น การต้องใช้หลายแอปพลิเคชันเพื่อควบคุมอุปกรณ์และฟังก์ชั่นต่าง ๆ ภายในบ้าน ดีไซน์และการใช้งานของแอปพลิเคชัน ควบคุมที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ (user-friendly) และการพัฒนาซอฟแวร์ให้ทันตามอุปกรณ์ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ทาง MOGEN และ IoThings จึงได้ร่วมกันพัฒนาโซลูชั่นสำหรับสมาร์ทโฮม เพื่อตอบโจทย์ประสบการณ์ของผู้ใช้ในยุคดิจิทัลและรองรับการเติบโต และเพิ่มมูลค่าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่





รวมถึงการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของครอบครัวสำหรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอนาคต ถือเป็นการร่วมกันพัฒนาครั้งแรกในการสร้าง Platform และโซลูชั่นแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรมด้านฮาร์ดแวร์/อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Device) และซอฟแวร์/แอปพลิเคชัน (IoThings Mobile Application) เพื่อรองรับการใช้งานแบบ “Single Mobile APP Control” หรือการควบคุมอุปกรณ์ทุกอย่างโดยแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์ Pain point ของผู้ใช้งานปัจจุบันที่ต้องใช้หลายแอปพลิเคชันในชีวิตประจำวัน โดยการพัฒนาโซลูชั่นนี้จะสามารถตอบโจทย์การใช้งาน และฟังก์ชั่นสำหรับที่อยู่อาศัยได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Smart Lighting, Smart Control & Connectivity, Smart Security & Environment, Smart Door Lock รวมถึง Smart Health & Wellness ซึ่งสอดรับกับแนวคิดการอยู่ร่วมกันของคนหลายวัยในพื้นที่เดียวกัน “Multi Generational Living” ที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญด้านดีไซน์และความทันสมัยตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยไม่ลืมการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานให้ใช้งานได้สะดวก ทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของสมาชิกทุกวัย






นอกจากนี้ “IoThings Mobile Application” ยังมีจุดเด่นที่สำคัญคือการเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Apple และ Google ทำให้สามารถใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (Artificial Intelligence) อย่างเช่น การใช้คำสั่งเสียงอัจฉริยะ (AI Voice Command) ของ Google อย่าง Google Assistant และ Siri ของ Apple ในการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านผ่าน Mobile Application

ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้ โมเก้นเล็งเห็นว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์จะเป็นที่ต้องการและมีความน่าสนใจในตลาดที่อยู่อาศัยอย่างกว้างขว้าง การขายแบบ B2B (Business to Business) การขายกลุ่มผู้รับเหมา, การขายแบบB2B (Business to Business) การขายเข้าโครงการ เช่น งานบ้าน งานคอนโด งาน Public Community งานโรงพยาบาล หน่วยงานราชการ เป็นต้น หรือในส่วนของ B2C (Business to Customer) ซึ่งทางโมเก้นก็มี Platform ขายสินค้า Online to Offline ไม่ว่าจะเป็น Mogen More , Mogen Place , S Two ที่ให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกชมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สินค้าได้ตามช่องทางที่สะดวก





 โดยแผนธุรกิจของ MOGEN ในปี 2023 เราตั้งเป้ายอดขายในส่วน IoT Smart Living Solution ไว้ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งมุ่งเน้นเจาะตลาดไปในกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ โดยจะเน้นทำการตลาดแบบ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นการนำเสนอขายแบบงานโครงการ (Project) โดยเราจะใช้กลยุทธ์การนำเสนอขายแบบ Solution คือการจับเซทสินค้าและอุปกรณ์เพื่อนำเสนอขายแบบแพคเก็ตสำหรับแต่ละห้อง ด้วยราคาที่คุ้มค่าและเหมาะสม สำหรับงานโครงการตามต่างจังหวัดเราจะมุ่งเน้นการขายไปตามหัวเมืองหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต นครศรีธรรมราชและหาดใหญ่ โดยจังหวัดดังกล่าวมีศูนย์บริการของโมเก้นในการให้บริการอยู่ กลุ่มที่ 2 คืองาน Retail ซึ่งจะเน้นการขายแบบเซท Solution สำหรับบ้านพักอาคารและอาคารชุดทั่วไปพร้อมกับกลุ่มสินค้า Smart Device จะเป็นกลุ่มสินค้าที่ติดตั้งง่ายไม่ต้องเดินสายไฟ ซึ่งได้แก่ กลุ่ม Smart Security & Sensors , Smart Connectivity & Control , Smart Health & Wallness , Ai Voice Commard โดยสินค้ากลุ่มนี้จะเน้นขายในทาง Mogen Online Platform อีกด้วย





ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการ

IoT Smart Living Solution ประกอบไปด้วย “IoThings Mobile Application” พร้อมสินค้ากลุ่มอุปกรณ์อัจฉริยะมากกว่า 28 รายการที่สามารถใช้ร่วมกันภายใต้ Application เดียว ครอบคลุมความต้องการของผู้อยู่อาศัยและช่วยเพิ่มมูลค่าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่ ดังต่อไปนี้

- ระบบแสงสว่างอัจฉริยะ (Smart Lighting & Electrical) เช่น สวิตซ์ไฟและปลั๊กไฟอัจฉริยะ

- ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Security & Sensors) เช่น กล้อง อุปกรณ์ควบคุมความปลอดภัย และเซนเซอร์ประเภทต่าง ๆ

- ระบบการควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Connectivity & Control) เช่น อุปกรณ์ควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้า

- ระบบการควบคุมประตู (Smart Door Lock) เช่น กลอนประตูดิจิตอลแบบปลดล็อคได้ผ่าน Application

- ระบบสุขภาพและความเป็นอยู่อัจฉริยะ (Smart Health & Wellness) เช่น เซนเซอร์อุณหภูมิ ปุ่มช่วยเหลือฉุกเฉิน เซนเซอร์ตรวจจับการล้มของผู้สูงอายุ

- ระบบสั่งการผ่านเสียงอัจฉริยะ (AI Voice Command) เชื่อมต่อ “IoThings Application” กับบริษัท เทคโนโลยีชื่อดังอย่าง Google และ Apple


คำกล่าวผู้บริหาร

SPEECH กล่าวเปิดงาน

นายเบญจ เบญจรงคกุล กรรมการ บริษัท ไอโอธิงส์ กล่าวว่า “ธุรกิจในยุคดิจิทัลต้องการพลังแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน เพื่อตอบสนองความต้องการและประสบการณ์ใหม่ๆของผู้บริโภค ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด บริษัทไอโอธิงส์ เป็น Tech Company ที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้าน Internet of Things (IoT) โดยมีความสามารถในการพัฒนาซอฟแวร์ และแพลตฟอร์มอัจฉริยะ รวมถึงการพัฒนาฮาร์ดแวร์เพื่อให้รองรับกับแพลตฟอร์มได้อย่างไร้รอยต่อ”

“การร่วมมือกับ MOGEN ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นด้านดีไซน์ของสินค้า และมีประสบการณ์ในกลุ่มสินค้าภายในบ้านในตลาดประเทศไทยมาอย่างยาวนาน จะช่วยยกระดับการพัฒนาโซลูชั่น และแอปพลิเคชัน ตลอดจนอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย และเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการของกลุ่มธุรกิจผู้อสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ระบบโฮมออโตเมชั่น หรือสมาร์ทโฮมกำลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง MOGEN จะเป็นพันธมิตรหลักที่จะทำให้โซลูชั่นของเรามีศักยภาพ และตอบโจทย์ให้กับลูกค้ากลุ่มที่อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง ” ผู้บริหาร บริษัท ไอโอธิงส์ กล่าว



SPEECH กล่าวเปิดงาน

นายพงษ์ธร วานิชพงษ์พันธุ์ กรรมการบริหาร บริษัท โมเก้น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เนื่องจากปัจจุบันโลกของเราเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ต้องยอมรับเลยว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ ล้วนเข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตประจำวันของเราทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่เหล่านี้ได้ตอบโจทย์ความสะดวกสบายและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างครบครัน เราจึงเล็งเห็นในผลิตภัณฑ์และสินค้าของ IoThings ซึ่งเป็น Tech Company ที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้าน Internet of Things (IoT) เพื่อตอบสนองความต้องการและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ของลูกค้า

โดยโมเก้นเองก็มี Platform Online & Offline ที่แข็งแรงไม่ว่าจะเป็น Mogen More , Mogen Place , S Two หรือจะเป็นในส่วนของฐานลูกค้างานโครงการเราก็มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ผมจึงเห็นว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตแบบก้าวกระโดด และสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในยุคปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม ผู้บริหาร บริษัท โมเก้น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

เอชพี เผยเทคโนโลยีจะกลายเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมผู้บริโภค และภาคธุรกิจเพื่อปลดปล่อยศักยภาพอย่างเต็มที่ในยุคใหม่

posted Jun 13, 2022, 1:36 AM by Maturos Lophong



เอชพี เผยเทคโนโลยีจะกลายเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมผู้บริโภค และภาคธุรกิจเพื่อปลดปล่อยศักยภาพอย่างเต็มที่ในยุคใหม่

ชูนวัตกรรมเทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพการทำงานในกลุ่มผู้ใช้งานธุรกิจและผู้ใช้งานทั่วไปด้วยประสิทธิภาพที่สูงสุด


กรุงเทพฯ 10 มิถุนายน 2565 – เอชพี ประเทศไทย เปิดตัวนวัตกรรมเทคโนโลยีทรงพลังเต็มรูปแบบภายใต้ธีม “ปลดล็อกขุมพลังความต้องการทำงานแนวไฮบริด” ในงานวัน HP Thailand Day 2022 พร้อมส่งอุปกรณ์และโซลูชั่นกลุ่มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการทำงานประสานกัน พร้อมร่วมสร้างประสบการณ์การสร้างสรรค์ในโลกไฮบริด ประกอบด้วย HP Elitebook x360 1040 G9, HP Probook x360 435 G9 และเครื่องพิมพ์ HP Smart Tank งานนี้นำทัพโดย มร.อึ้ง เทียน ชอง กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย เอชพี อิงค์ และ มร.ลิม ชุน เต็ก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชพี อิงค์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยกูรูไอทีชื่อดัง “หนุ่ย พงศ์สุข” และครีเอเตอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก “เค เลิศสิทธิชัย”




การทำงานรูปแบบไฮบริดต้องการมากกว่าแค่การเชื่อมต่อและทำงานร่วมกัน และเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเทคโนโลยีในการส่งมอบประสบการณ์ให้กับผู้คนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แม้ว่าสถานที่ทำงานจะอยู่ในทุกที่ตามความต้องการของผู้คนแต่ความคาดหวังในการทำงานนั้นไม่เปลี่ยน ผู้คนยังต้องได้รับการมองเห็นและได้ยินเสียงอย่างชัดเจน มีประสิทธิภาพและสร้างแรงบันดาลใจ


“ที่เอชพี เราคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ และได้นำมากำหนดเป็นกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจ ไม่ว่าจะผ่านการเล่นเกม อุปกรณ์เชื่อมต่อ โซลูชั่นสำหรับการทำงาน บริการระบบสมาชิก รวมถึงกราฟิกเพื่องานอุตสาหกรรมและ 3D เพื่อรองรับโอกาสใหม่ การพัฒนาด้านต่างๆ รวมไปถึงอนาคตที่น่าตื่นเต้นสำหรับวันนี้และในภายภาคหน้าฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และโซลูชั่นของเราพร้อมนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัยจะมอบประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการเติบโตในโลกไฮบริด โดยมอบพลังในการผสมผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ให้ประสิทธิผลสูงสุดสำหรับการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ผสานแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจขั้นสูงสุดของเรา” มร.อึ้ง เทียน ชอง กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย เอชพี อิงค์ กล่าว

กระแส Work from Home (WFH) ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย และการทำงานแนวไฮบริดได้กลายเป็นเรื่องปกติในรูปแบบใหม่ (New Normal) ด้วยคนเราชอบสภาพการทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงตามแนวทางใหม่นี้ พนักงานองค์กรในไทยมากกว่า 80% สะท้อนถึงความต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้นหลัง โควิด ธุรกิจต่างๆ ต้องมองหาเครื่องมือที่เหมาะสมให้พนักงานเพื่อขยายการทำงานไปสู่รูปแบบไฮบริด


มร. ลิม ชุน เต็ก กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย กล่าว “ปัจจุบันออฟฟิศอยู่ 'ทุกที่' และอนาคตของการทำงานก็เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว เมื่อเรายอมรับรูปแบบการทำงานและการเรียนรู้แบบผสมผสาน ประสบการณ์จะมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม และเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องอัปเดตเทคโนโลยีที่มาก่อนการเกิดการแพร่ระบาด เพื่อนำเสนอวิธีการใหม่ในการทำงานร่วมกันและเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ทั้งยังคงเพลิดเพลินได้ ที่เอชพี เราจะพยายามส่งเสริมให้ลูกค้าและกลุ่มธุรกิจได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ และช่วยให้บรรลุศักยภาพสูงสุดโดยการจัดหาโซลูชั่นที่เหมาะสมตรงกับรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดที่เกิดขึ้นใหม่นี้"



ในงานนี้ได้รับเกียรติจาก คุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มาเน้นย้ำว่า ธุรกิจไทยจะต้องนำรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดมาใช้เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ พนักงานที่มีความสามารถต้องการโซลูชั่นที่เหมาะสมและไม่ยุ่งยากมาติดตั้งในอุปกรณ์ของตน เช่น พีซีและเครื่องพิมพ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นตลอดจนความปลอดภัย


ในฐานะที่เป็นครีเอเตอร์ นักแสดง และนักธุรกิจรุ่นใหม่ คุณเค เลิศสิทธิชัย เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการอาชีพและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายสำหรับเขา เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างไม่สะดุด และทำงานร่วมกับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมงานจากที่บ้านหรือทุกที่ทุกเวลา ซึ่งเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในชีวิตการทำงาน การเล่นเกมต่างๆ บนพีซีที่ทรงพลัง ไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิง แต่ยังช่วยให้สร้างและพัฒนาคอนเทนต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ได้อีกด้วย


เอชพีเข้าถึงอนาคตของการทำงานแบบไฮบริด


โมเดลการทำงานและการเรียนรู้แบบผสมผสานช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างผลงาน ใช้งาน และทำงานร่วมกันได้อย่างมีอิสระและคล่องตัวมากขึ้น ในระดับองค์กร ธุรกิจยังต้องทำงานกับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมและเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบไฮบริด ด้วยเหตุนี้ เอชพี จึงได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพีซีและเครื่องพิมพ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้พนักงานสามารถก้าวหน้าได้ในโลกไฮบริด


เอชพีสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอด้วยผลิตภัณฑ์พีซีและเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน สร้างสรรค์งาน ทำงานร่วมกัน หรือเพื่อความบันเทิง



• HP EliteBook x360 1040 G9 ปลดล็อกขีดจำกัดด้านประสิทธิภาพและน้ำหนักที่เบาสำหรับผู้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ทุกแห่งหน ออกแบบมาใหม่เพื่อการทำงานที่ราบรื่นในการทำงานแบบไฮบริด ตัวเครื่องทำจากแชสซีที่บางเบา

• HP ProBook x360 435 G9 ผสมผสานการออกแบบที่ให้น้ำหนักเบาและอัปเกรดได้ พร้อมด้วยประสิทธิภาพการทำงานด้านธุรกิจ พร้อมการรักษาความปลอดภัย ทนทาน เหมาะสำหรับธุรกิจที่กำลังเติบโต

• HP Spectre x360 14 สร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระด้วย รองรับการใช้ชีวิตอย่างราบรื่นในโลกไฮบริดสำหรับยุคปัจจุบัน ด้วยแพลตฟอร์มของ Intel® Evo™ และโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ รุ่นที่ 12 ที่พัฒนาฟังก์ชันการทำงานพร้อมๆ กันหลายอย่าง และทรงประสิทธิภาพ มาพร้อมกับจอสัมผัสที่พับได้ในลักษณะต่างๆ รวมถึงการซูมด้วยนิ้วมือ การแตะสองครั้ง และการกดค้างไว้เพื่อสร้างและจัดการภาพวาดและเนื้อหาสร้างสรรค์อื่นๆ ให้เป็นไปอย่างง่ายดาย

• HP OMEN 16 และ Victus by HP 15 สำหรับนักเล่นเกมมืออาชีพ เอชพีนำเสนอเกมมิ่งแล็ปท็อป เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดสำหรับการเล่นเกมที่ต้องอาศัยเครื่องที่ทรงพลังในทุกที่ มาพร้อมกับกราฟิกการ์ดที่ยืดหยุ่นและโปรเซสเซอร์ Intel ผสมผสานวัสดุเพื่อสิ่งแวดล้อม มีคีย์บอร์ดเรืองแสงมาตรฐานที่พิมพ์ด้วยแบบอักษรที่โดดเด่น พบได้ในอุปกรณ์ OMEN ด้วยโปรเซสเซอร์และกราฟิกที่ล้ำและแตกต่าง ผู้ใช้สามารถทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ไม่ว่าจะเล่นเกม ท่องเว็บ ตัดต่อ และอื่นๆ



ผู้คนจำนวนมากต้องการใช้ประโยชน์จากการพิมพ์ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงานหรือที่บ้าน เอชพีพัฒนาเครื่องพิมพ์ให้ทันสมัยโดยลดความซับซ้อนของการพิมพ์ สร้างประสบการณ์การทำงานในสำนักงานที่แท้จริงเมื่ออยู่ที่บ้านและเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจที่เน้นการบริการ



• Easy Ink เอชพี ช่วยให้ผู้ใช้ในบ้านและผู้ใช้งานธุรกิจสามารถสั่งซื้อตลับหมึกเอชพีผ่านทางออนไลน์ และจัดส่งตลับหมึกให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับการพิมพ์คุณภาพสูงอย่างไม่ขาดตอน ด้วยหมึกและผงหมึกของแท้ รับประกันคุณภาพการพิมพ์ที่โดดเด่นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

• แอป HP Smart ช่วยให้ลูกค้าเพลิดเพลินกับความสามารถในการพิมพ์และสแกนจากทุกที่ ทั้งได้รับการแจ้งเตือนเมื่อพิมพ์ สแกน หรือคัดลอกจากคอนเทนต์จากมือถือ

• HP Smart Tank 720 All-in-One มอบประสบการณ์การพิมพ์ที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่ต้นจนจบด้วยงานพิมพ์คุณภาพสูงมาพร้อมกับคุณสมบัติอัจฉริยะขั้นสูง เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการพิมพ์งานจำนวนมาก โดยเครื่องพิมพ์ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในแต่ละวันสำหรับการทำงานหรือการเรียนในยุคไฮบริด

• HP LaserJet MFP M236dw เครื่องพิมพ์ขนาดเล็กที่พิมพ์สองหน้าได้อย่างเร็ว ได้รับการออกแบบมาสำหรับนักธุรกิจมืออาชีพที่ต้องการการพิมพ์ขาวดำประสิทธิภาพสูงตัวเครื่องขนาดเล็ก กะทัดรัด มาพร้อมการเชื่อมต่อที่เสถียรขึ้นด้วยWi-Fi™ แบบดูอัลแบนด์พร้อมการรีเซ็ตในตัวเอง การสแกนคุณภาพสูง และสามารถแชร์ไปยัง Dropbox, Google Drive, อีเมล หรือระบบคลาวด์ได้



ราคาและการวางจำหน่าย



• HP EliteBook x360 1040 G9 มีจำหน่ายแล้วที่ HP Online Store ราคา 44,990 บาท

• HP ProBook x360 435 G9 มีจำหน่ายแล้วที่ HP Online Store ราคา 35,990 บาท

• HP Spectre x360 14 จำหน่ายแล้วที่ HP Online Store ราคา 51,990 บาท

• HP OMEN 16 วางจำหน่ายแล้วที่ HP Online Store และร้านค้าปลีกอื่นๆ ราคาเริ่มต้น 45,990 บาท

• Victus by HP วางจำหน่ายแล้วที่ HP Online Store และร้านค้าปลีกอื่นๆ ราคาเริ่มต้น 28,990 บาท

• เครื่องพิมพ์ HP Smart Tank 720 All-in-One เริ่มต้น 7,390 บาท ที่ร้านค้าไอทีชั้นนำและออนไลน์ พร้อมรับประกัน 2 ปี และบริการนอกสถานที่ฟรี

• HP LaserJet MFP M236dw Printer วางจำหน่ายแล้วที่ร้านค้าออนไลน์ของ HP และขายปลีก ราคาเริ่มต้นที่ 4,190 บาท พร้อมการรับประกัน 3 ปีและบริการนอกสถานที่

ติดปีกร้านค้า ให้ขายดีติดใจ...ทรู อัปเกรด แอป “ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์”

posted May 5, 2022, 2:16 AM by Maturos Lophong

 

ติดปีกร้านค้า ให้ขายดีติดใจ...ทรู อัปเกรด แอป “ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์”

เสริมทัพฟีเจอร์ใหม่ และสิทธิประโยชน์ช่วยพ่อค้าแม่ค้าทั่วไทย
พร้อมส่งภาพยนตร์โฆษณา “ร้านติดปีก ขายดีติดใจ” ดึง “กันต์-กันตถาวร”
ช่วยติดอาวุธให้ผู้ประกอบการรายย่อย ให้ขายง่ายกว่าเดิม

กรุงเทพฯ 5 พฤษภาคม 2565 – เพราะเข้าใจถึงวิถีของพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องปรับตัวให้ทันกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล...ทรู ทุ่มเทพัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยร้านค้ายุคใหม่มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้พัฒนา แอปพลิเคชัน “ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์” เวอร์ชันใหม่ ช่วยให้ร้านค้าซื้อง่าย ขายคล่อง พร้อมให้พ่อค้าแม่ค้า สัมผัสประสบการณ์ที่เร็วกว่า แรงกว่า ล้ำกว่า ในการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้น เมื่อใช้แอปพลิชันบนเครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G อีกทั้งยังช่วยยกระดับร้านค้าทรูให้สมาร์ทอย่างแท้จริง ด้วยฟีเจอร์ล้ำและฟังก์ชันเด็ด พร้อมสิทธิประโยชน์ที่ครบครันมากยิ่งขึ้น พิเศษแบบที่ใครก็ให้ไม่ได้ ทั้งใช้งานได้ง่ายกว่า สะดวก ปลอดภัย คุ้มกว่าด้วยสิทธิพิเศษจากทรูพอยท์ เข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าผ่านช่องทางโปรโมทของกลุ่มทรู พิเศษกว่า รับเน็ตฟรีจาก True Gigatex Fiber ลดต้นทุนมากกว่า ซื้อวัตถุดิบในราคาพิเศษ และเพิ่มรายได้เสริมจากการเป็นตัวแทนผู้จำหน่ายสินค้าทรู พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “ร้านติดปีก ขายดีติดใจ” ที่ได้พรีเซ็นเตอร์ “กันต์-กันตถาวร” นักแสดงและพิธีกรเบอร์ 1 ขวัญใจมหาชนมาช่วยติดอาวุธให้กับผู้ประกอบการ สร้างธุรกิจให้เติบโตและสร้างรายได้มากยิ่งขึ้น และยังมีแม่ค้าชั้นนำอย่าง “เจ๊จง” จงใจ-กิจแสวง เจ้าของร้านหมูทอดเงินล้านชื่อดัง ที่เลือกเข้าร่วมกับทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ มาชวนให้ทุกร้านขายดีติดใจแล้วรวยไปด้วยกัน ร้านค้าที่สนใจ ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ สมัครฟรี ได้แล้ววันนี้ที่ LINE @TrueSmartMerchant หรือ โทร.1326




นายปเนต ทองตัน หัวหน้าสายงานธุรกิจ O2O และทรูฟู้ด บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “กลุ่มทรู เห็นความสำคัญของการช่วยเหลือและส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยมาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ให้ค้าขายดี มีกำไร ลดต้นทุน พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์” เพื่อเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยพ่อค้าแม่ค้าตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่เทรนด์การจับจ่าย เข้าสู่สังคมไร้เงินสด และล่าสุดได้ต่อยอดแอปพลิเคชันดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น จึงได้ปรับโฉมทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ เวอร์ชันใหม่ ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ ฟังก์ชัน และอัปเกรดสิทธิประโยชน์ที่ร้านค้าจะได้รับมากขึ้นกว่าเดิม ครบครันในทุกมิติ พร้อมให้พ่อค้าแม่ค้า ได้รับประสบการณ์ที่เร็ว แรงกว่า ล้ำกว่า เมื่อใช้แอปพลิเคชันทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ บนเครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ กว่า 240,000 ร้านทั่วประเทศ ทั้งที่มีหน้าร้านและขายออนไลน์ ประกอบด้วยหลากหลายประเภทธุรกิจ อาทิ อาหาร เครื่องดื่ม ร้านโชว์ห่วย เสื้อผ้า เครื่องประดับ และเพื่อให้การปรับโฉมครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งไหนๆ กลุ่มทรูจึงได้สร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ร้านติดปีก ขายดีติดใจ” โดยมีพรีเซ็นเตอร์ กันต์-กันตถาวร นักแสดงและพิธีกรเบอร์ 1 ขวัญใจคนไทยทั้งประเทศ ที่เข้าใจความต้องการของพ่อค้าแม่ค้าในปัจจุบัน มาช่วยติดอาวุธและติดปีกให้ทุกคนได้สร้างธุรกิจให้พร้อมเติบโตไปได้ไกลกว่าเดิม ดังเช่น เจ้าของร้านหมูทอดเงินล้าน อย่าง “เจ๊จง” จงใจ-กิจแสวง ที่เป็นหนึ่งในแม่ค้าชั้นนำที่เลือกเป็นร้านค้าทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ และขายดีจนติดใจซึ่งเชื่อมั่นว่าการพัฒนาฟังก์ชันต่างๆ ของแอปพลิเคชันนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืนไปด้วยกัน”





ร้านค้าทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์” จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มากกว่าดังนี้

· ง่ายกว่า : ตั้งป้ายเดียวรับเงินได้จากทุกแอปธนาคาร รวมทั้งแอปทรูมันนี่ วอลเล็ท สะดวก ปลอดภัย ไร้กังวล ทั้งร้านค้าและลูกค้า

· คุ้มกว่า : รับทรูพอย์การรับสแกนทุกๆ การรับชำระ 25 บาท/1คะแนน สูงสุด 250 คะแนน/เดือน สำหรับร้านค้าที่ใช้เบอร์ ทรูมูฟ เอช สะสมคะแนนเพื่อนำไปแลกซื้อสินค้าที่ร่วมรายการในราคาสุดคุ้ม อาทิ เซเว่นฯ แม็คโคร โลตัส และยังสามารถใช้ทรูพอยท์แลกรับส่วนลดกับร้านค้าได้

· เข้าถึงลูกค้ากว่า : โปรโมทร้านให้ฟรีผ่าน SMS ถึง 500 เบอร์ ได้ทุกเดือนตามเงื่อนไข โปรโมทร้านค้าง่ายๆ ด้วยตัวเองผ่านแอป ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ โดยร้านค้าสามารถซื้อเพิ่มได้ในราคาพิเศษ หรือจะใช้ทรูพอยท์แลกก็คุ้มสุดๆ

· เพิ่มรายได้ : สร้างรายได้เสริมร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าทรู รับค่าตอบแทนต่อเนื่องและยั่งยืน (ขายซิม เติมเงิน เติมเน็ต ให้ลูกค้าทรู หรือแนะนำลูกค้าติดเน็ตบ้านทรู)

· ลดต้นทุนมากกว่า : ช่วยร้านค้าประหยัด รับส่วนลดซื้อวัตถุดิบราคาพิเศษ ผ่านแอป ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ พร้อมส่งฟรีทั่วประเทศ (เมื่อสั่งซื้อครบ 499 บาท)

· พิเศษกว่า : รับเน็ต True Gigatex Fiber ฟรี 12 เดือน มูลค่า 7,188 บาท เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างคล่องตัว สะดวกกว่าใคร





กันต์ กันตถาวร ในฐานะพรีเซ็นเตอร์ตัวแทนของคนพ่อค้าแม่ค้ารุ่นใหม่ เปิดเผยว่า “รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นตัวแทนและช่วยประชาสัมพันธ์ไปถึงพ่อค้าแม่ค้าในยุคปัจจุบัน ซึ่งแอปทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ จะตอบโจทย์ทุกฟังก์ชันการใช้งาน ด้วยเครื่องมือต่างๆ รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าเดิมซึ่งจะช่วยให้ร้านค้าได้ยกระดับการขายได้ง่ายกว่าเดิม และธุรกิจดำเนินอย่างราบรื่นต่อไป จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการมาเข้าร่วมเป็นร้านค้าทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ จะได้ติดปีกและขายดีติดใจไปด้วยกัน”



“เจ๊จง” จงใจ-กิจแสวง หนึ่งในร้านค้าชื่อดังที่เข้าร่วมเป็นร้านค้าทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ กล่าวว่า “จากประสบการณ์การการใช้งานจริง บอกได้เลยว่าแอปทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ นี้ดีสุดๆ สามารถจัดการยอดขาย ใช้งานง่าย และขายคล่องขึ้น และที่สำคัญยังได้รับสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าใคร การันตีไม่มีที่ไหนให้ได้มากกว่านี้ ทรูติดปีกให้เจ๊มาตั้งนานแล้ว และอยากเชิญชวนเพื่อนร่วมอาชีพ พ่อค้าแม่ขายทุกคน รีบมาเข้าร่วมเป็นร้านค้าทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ รับรองว่าร้านค้าของคุณจะต้องเติบโตมากขึ้นกว่าเดิมเหมือนร้านเจ๊จงแน่นอน”

สำหรับผู้ที่สนใจ สมัครเป็นร้านค้า ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ ให้ธุรกิจของคุณติดปีก ขายดีติดใจ ได้แล้ววันนี้ที่ LINE @TrueSmartMerchant หรือ โทร. 1326

DLC เปิดตัว “อินฟินิกซ์” (INFINYX) แพลตฟอร์มบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ในยุค Metaverse

posted Mar 23, 2022, 6:23 AM by Maturos Lophong   [ updated Mar 23, 2022, 8:01 AM ]






DLC เปิดตัว “อินฟินิกซ์” (INFINYX) แพลตฟอร์มบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ในยุค Metaverse

เปิดตัว “อินฟินิกซ์” (INFINYX) แพลตฟอร์มบริการทางการเงิน ที่เชื่อมต่อสินทรัพย์ดิจิทัลและโลกการเงินแบบดั้งเดิม ให้ผู้บริโภคสามารถทำธุรกรรมในสินทรัพย์ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือนได้อย่างง่ายดาย ไร้พรมแดน ผ่านแอปพลิเคชันเดียวบนมือถือ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การจับจ่ายของคนไทยในยุค Metaverse ตั้งเป้าหมายปีแรกเจาะกลุ่มลูกค้า 200,000 ราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านบาท


นายพงศธร ธนบดีภัทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิจิต้าไลฟ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DLC) ในเครือ DTGO เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ได้พัฒนาแพลตฟอร์มอินฟินิกซ์ (INFINYX) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่เชื่อมต่อสินทรัพย์ดิจิทัลและโลกการเงินแบบดั้งเดิมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้บริโภคสามารถทำธุรกรรมได้ทั้งโลกความเป็นจริงและโลกเสมือน และสามารถใช้งานได้ง่าย เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน INFINYX ผ่านทาง App Store, Google Play หรือเพิ่มเพื่อนใน INFINYX Line Official Account จากนั้นลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้งาน พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมายเมื่อฝาก ถือ และใช้จ่ายกับ INFINYX”






สำหรับ INFINYX เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยในเดือนมีนาคม 2565 โดย INFINYX จะเปิดตัว Utility Token (FYX) ที่ใช้ Asset Backed 100% ซึ่งสามารถใช้ได้เสมือนเงินบาท ลูกค้าของ INFINYX สามารถใช้ FYX ผ่านทางร้านค้าที่ร่วมบริการได้ทั่วโลกและใช้จ่ายผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์
“แพลตฟอร์ม INFINYX เป็นประตูระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกดิจิทัล ที่เข้ามาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ก้าวเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงเป็นช่องทางให้ผู้ค้าได้เข้าถึงโลกการเงินรูปแบบใหม่ โดย INFINYX จะพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มสำคัญของบริการทางการเงินเพื่อเร่งการเติบโตในรูปแบบบูรณาการของทั้งสองโลกเข้าไว้ด้วยกัน” นายพงศธร กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายของ INFINYX คือผู้ถือบัตรเครดิตในประเทศไทย ที่มีจำนวน 25 ล้านบัญชี และผู้ถือบัตรเดบิตที่มีมากกว่า 64 ล้านบัญชี โดยคาดว่าในปีแรกจะมีผู้ใช้บริการราว 200,000 ราย และประเมินว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 10,000 ล้านบาท







นายปรเมษฐ์ บุญเลิศศักดิ์สกุล ประธานเจ้าหน้าที่สร้างวิสัยทัศน์ บริษัท ดิจิต้าไลฟ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DLC) กล่าวว่า “INFINYX ใช้เทคโนโลยี Hybrid-Chain ที่เชื่อมต่อกับบล็อกเชนหลักต่างๆ ในระบบนิเวศทั่วโลก เช่น Binance Smart Chain (BSC) หรือ Ethereum (ETH) เพื่อความโปร่งใส รวดเร็วและได้มาตราฐาน นอกจากนี้ INFINYX ได้นำระบบ Proof of Stake (PoS) มาใช้เพื่อตรวจสอบกระบวนการและธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชน ซึ่งระบบ PoS ได้สร้างขั้นตอนการตรวจสอบที่โปร่งใสและเชื่อถือได้ และทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ถึงระดับสูงสุดของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และความปลอดภัยของข้อมูลสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในระบบนิเวศของ INFINYX”

“เราให้ความสำคัญกับการรักษาข้อมูล ความปลอดภัยของลูกค้าสูงสุด และปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) อย่างเคร่งครัด และมุ่งพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์ความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ออกแบบให้ใช้งานง่าย ให้ลูกค้าทั่วไปสามารถเข้าถึงโลกการเงินดิจิทัลได้ง่ายที่สุด” นายปรเมษฐ์ กล่าวปิดท้าย

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต INFINYX จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับทั้งตลาด crypto และตลาดการเงินแบบดั้งเดิม รวมทั้งมีแผนที่จะเปิดตัว Investment Token และ Multi-Chain เพิ่มเติม โดยร่วมมือกับพันธมิตรแถวหน้าทั่วโลก
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ INFINYX เพิ่มเติมได้ทาง www.infinyx.com





IDR ตอกย้ำภาพบริษัทไทย ผู้ให้บริการกู้ข้อมูลคุณภาพสูงมาตรฐานสากล

posted Mar 18, 2022, 12:56 AM by Maturos Lophong


IDR ตอกย้ำภาพบริษัทไทย ผู้ให้บริการกู้ข้อมูลคุณภาพสูงมาตรฐานสากล ชูจุดแข็งกู้ได้ทุกอาการเสีย ข้อมูลความลับไม่รั่วไหล พร้อมขยายช่องทางบริการทั่วประเทศ กับ 12 ปีแห่งความเชื่อถือไว้วางใจ

เดินหน้าย้ายสำนักงานใหญ่ สู่ อาคาร 9 ชั้น บางนาคอมเพล็กซ์ รองรับความต้องการของลูกค้าไทยและต่างชาติที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว การันตีด้วยมาตรฐาน ISO 9001:2015 Certified และ Thailand Management System Q 002

จากการขยายตัวของภาพรวมของนวัตกรรมและเทคโนโลยีการสื่อสาร รวมถึง เทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ที่มีการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์เพื่อการบันทึกข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในแมมโมรี่การ์ด กล้องวงจรปิด เครื่องคอมพิวเตอร์-โน้ตบุค แฟลชไดรฟ์ เครื่องจักร Server อุปกรณ์ ต่างๆ ยิ่งกว่านี้ ปัจจุบันผู้คนโดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ได้ตระหนัก ถึงความสำคัญของข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจที่ต้องเก็บรักษาให้ปลอดภัย

บริษัท อินเตอร์ ดาต้า รีคัฟเวอรี่ จำกัด หรือ IDR เป็นบริษัทสัญชาติไทย ก่อตั้งภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการให้บริการด้านการกู้ข้อมูลให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ทั้งระดับบุคคล ไปจนถึงหน่วยงาน องค์กร ขนาดใหญ่ ด้วยนวัตกรรมล้ำหน้าและประสิทธิภาพสูงสุดมาตรฐาน สากล






นายไพโรจน์ ธีร์มกร (Mr. Pairoj Tea-Makorn) ผู้ก่อตั้ง บริษัท อินเตอร์ ดาต้า รีคัฟเวอรี่ จำกัด หรือ IDR ผู้สั่งสมประสบการณ์ด้าน Information Technology (เทคโนโลยีสารสนเทศ) มายาวนานกว่า 35 ปี เปิดเผยว่า จากแนวคิดที่เห็นว่า การสูญเสียข้อมูลสำคัญ ส่งผลเสียหายต่อผู้เป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล หรือ ในภาคธุรกิจ ซึ่งในขณะนั้น มีการก่อตั้งศูนย์บริการกู้ข้อมูลอย่างแพร่หลายฺในต่างประเทศ แต่ในประเทศไทย ยังไม่มีแม้แต่สำนักงานสาขา หรือ ตัวแทนการบริการดังกล่าวแม้แต่แห่งเดียว ทั้งนี้ เนื่องจากค่าบริการในการกู้ข้อมูลมีอัตราสูงมาก ทำให้หลายๆ องค์กรตัดสินใจที่จะทิ้งข้อมูลของตนเองไปอย่างน่าเสียดาย จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งธุรกิจบริการกู้ข้อมูล ภายใต้ชื่อบริษัท อินเตอร์ ดาต้า รีคัฟเวอรี่ จำกัด ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2552 (2009)

จากจำนวนการบริการในหลักร้อย สู่ สถิติรวมกว่า 60,000 เคส มุ่งเป้าต่อ หลักแสน

นายไพโรจน์ เปิดเผยเพิ่มเติม “จากการเริ่มต้นธุรกิจ ณ ชั้น 7 อาคาร MD บางนาคอมเพล็กซ์ บนพื้นทีขนาดย่อมๆ เพียงไม่กี่ตารางเมตร ได้เติบโตอย่างมั่นคง จนปัจจุบันได้ย้ายมาสู่อาคารใหม่ มีพื้นที่มากกว่า 1,000 ตรม. เป็นอาคารสูง 9 ชั้น โดยมีสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ Bangna Complex บนถนนบางนา-ตราด กม. ที่ 3 จังหวัดกรุงเทพมหานคร



ปัจจุบัน บริษัทได้ให้บริการด้านการกู้ข้อมูลครอบคลุมหลากหลายชนิดอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล อาทิ Harddisk ฮาร์ดดิส / External Harddisk, Solid State Drive (SSD), SD MicroSD, CF Card, Memory Card, Flash Drive, CCTV, Server / NAS, Mobile, HDD Machinary โดยความต้องการด้านการกู้ข้อมูลสูงมีปริมาณสูงขึ้นเรื่อยๆ






จากฐานลูกค้าเพียงไม่กี่ร้อยรายในระยะแรก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้ารายบุคคล (Retail customers) สามารถสร้างสถิติการบริการใหม่เป็นจำนวนรวมกว่า 60,000 เคส ในปัจจุบัน และมีแผนขยายการให้บริการ หลักแสนเคส ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มรายบุคคล ในระยะเริ่มแรก ไปสู่กลุ่ม หน่วยงาน และ องค์กร ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ และ จากลูกค้าภายในประเทศ ไปสู่ ลูกค้าต่างประเทศ โดยสัดส่วนระหว่างลูกค้าบุคคล กับ ลูกค้าองค์กร คือ 60 : 40 ส่วน ประเภทมีเดีย ที่เข้ามาใช้บริการมากที่สุดเรียงลำดับ ดังนี้ Harddisk / External Harddisk, Memory Card, Flash Drive, SSD, Server, และ CCTV ตามลำดับ



ขยายช่องทางบริการลูกค้า แต่งตั้งตัวแทน IDR รองรับการบริการทั่วประเทศ พร้อมนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำหน้าพัฒนาทั้งระบบ




ความสำเร็จของ IDR เป็นผลจากการพัฒนานวัตกรรมการบริการอย่างไม่หยุดยั้ง บริษัทได้ทุ่มงบประมาณเพื่อการพัฒนาและมีการนำเทคโนโลยีการกู้ข้อมูลที่ล้ำหน้ามาใช้ในกระบวนการของการกู้ข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ลงทุนสร้างห้องแล็ป ที่เรียกว่า Clean Room มาตรฐานเดียวกับบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน รวมทั้ง มีการสำรองอะไหล่มากกว่า 15,000 ชิ้น เพื่อการบริการที่รวดเร็ว จึงมีอะไหล่ครอบคลุมสื่อบันทึกข้อมูลทุกประเภท และในปี พ.ศ. 2555 บริษัทฯ ได้เริ่มเข้าสู่การใช้ระบบ ISO จากสถาบัน MASCI ประเทศไทย และ ได้รับรองมาตรฐาน ISO 9001 2008 ในปี 2556 และ ISO 9001 2015 ในปี พ.ศ. 2561 ด้านการบริการ และยังมีการประเมินมาตรฐานบริการ จาก สถาบัน MASCI ประเทศไทย อย่างต่อเนื่องทุกปี จนถึง ปัจจุบัน

ในส่วนของการบริการลูกค้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วและทั่วถึง ปัจจุบันสามารถส่งทางไปรษณีย์ หรือ ส่งผ่านตัวแทนของ IDR ได้ อาทิ IT City และ Synnex ทุกสาขาทั่วประเทศไทย และ ร้านตัวแทนอื่นๆ มากกว่า 10 ร้าน สามารถตรวจสอบพื้นที่ตัวแทน รับ-ส่งกู้ข้อมูลได้ที www.idrlab.com หรือ Hot Line : 094-6928080, 080-5913536

ส่วนพฤติกรรมผู้บริโภคในอดีตและปัจจุบันที่เปลี่ยนไปว่า “ในอดีตที่ผ่านมานั้น ไม่ได้ตระหนักมากนักกับปัญหาข้อมูลหาย แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายของธุรกิจนั้นๆ หรือ มูลค่าทางจิตใจ อย่างเช่น ภาพถ่าย ข้อมูลวิจัย อาร์ตเวิร์คต่างๆ รวมถึง ข้อมูลทางการเงิน จะรู้ว่าปัญหาข้อมูลหายเหล่านี้ไม่ได้มีมูลค่าที่เล็กน้อยเลย

จาก 12 ปี แห่งความสำเร็จ บริษัทยังคงมุ่งมั่นยืนหยัดนำนวัตกรรมล้ำหน้ามาปรับใช้เพื่อการให้บริการที่ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคให้ได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป นายไพโรจน์กล่าวปิดท้าย

กสทช. ตอกย้ำสังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบ ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่

posted Feb 4, 2022, 12:50 AM by Maturos Lophong



กสทช. ตอกย้ำสังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบ ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่


แนะวิธีใช้งาน “Mobile ID” เบอร์มือถือ แทนบัตร แทนตัวคุณ สะดวก ปลอดภัย ง่ายทุกธุรกรรม


สำนักงาน กสทช. เผยความสำเร็จในการเปิดลงทะเบียนสมัครใช้งาน “Mobile ID” เบอร์มือถือ แทนบัตร แทนตัวคุณ โดยมีแผนงานขยายขอบข่ายผู้ให้บริการและหน่วยงานต่างๆ เพิ่มมากขึ้น พร้อมเร่งเดินหน้าโปรโมทการใช้งาน Mobile ID ให้เข้าถึงและสร้างความเข้าใจกับประชาชนในวงกว้าง ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเจเนอเรชั่นใหม่แห่งการยืนยันตัวตน รวมทั้งยังแนะนำวิธีสมัครใช้งาน Mobile ID เพียง 3 ขั้นตอนง่ายๆ “โชว์-แชะ-พร้อมใช้” เพื่อให้การทำธุรกรรมต่างๆ ของคุณ สะดวก ใช้งานง่าย ข้อมูลส่วนบุคคลปลอดภัย เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทยทุกคนที่ดีขึ้น

หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และเครือข่ายภาคี ได้เปิดให้ผู้ใช้บริการสามารถสมัครใช้บริการ “Mobile ID” เบอร์มือถือ แทนบัตร แทนตัวคุณ ตอนนี้ประชาชนคนไทยจะได้ใช้ประโยชน์จากระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยรูปแบบบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ “Mobile ID” เพื่อใช้แสดงตนในการเข้าใช้บริการได้อย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง กับหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตอกย้ำชัด ‘หมดยุค’ ยื่นเอกสารอีกต่อไปแล้ว


สำหรับระบบ Mobile ID นี้ ได้พัฒนาตามข้อกำหนดและมาตรฐานของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ผู้ใช้งานจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับความสะดวกและปลอดภัย โดยมีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงจนถูกมิจฉาชีพนำไปใช้หรือปลอมแปลงเพื่อสวมสิทธิ์ได้ ซึ่งการผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้ Mobile ID มากขึ้นนี้ นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนและส่งเสริมนโยบายรัฐบาลในเรื่องการใช้ดิจิทัลไอดีให้เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ยังมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสร้างสังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบ ด้วยการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนของทุกคนให้เป็นเครื่องมือสื่อสารยุคใหม่แห่งการทำธุรกรรมที่จะทำให้ชีวิตคนไทยทุกคนดีขึ้นอีกด้วย

ภายหลังการทดลองทดสอบ Mobile ID ในวงปิดมาระยะหนึ่งจนเป็นที่พอใจแล้ว บัดนี้ระบบมีความพร้อมที่จะให้บริการ Mobile ID อย่างเต็มรูปแบบสำหรับประชาชนทั่วไปในการเปิดบัญชีธนาคารกรุงเทพ โดยในระยะยาวสามารถใช้ Mobile ID เพื่อยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมได้อย่างหลากหลาย เช่น ขอใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำธุรกรรมฝาก โอน ถอน เปิดบัญชีที่ธนาคาร ยื่นขอทำใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์ ขอรับบริการจากรัฐและเอกชน และทำธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น อีกทั้งยังขยายขอบข่ายผู้ให้บริการเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการกับหน่วยงานอื่นๆ ตามที่สำนักงาน กสทช. ได้ทำข้อตกลงไว้


การใช้งาน Mobile ID ตามข้อตกลงของสำนักงาน กสทช. กับหน่วยงานต่างๆ ครอบคลุมถึงการสมัครใช้บริการใบขับขี่ดิจิทัล DLT QR License กับกรมขนส่งทางบก ติดต่อเชื่อมโยงกับกรมสรรพากรสำหรับเข้าระบบเพื่อยื่นภาษีออนไลน์ (E-FILING) เข้าสู่ระบบบริการขอใช้สิทธิประกันสังคมของสำนักงานประกันสังคม ยืนยันตัวตนในการเปิดบัญชีธนาคารกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือเปิดบัญชีการลงทุนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และใช้ได้กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อยืนยันตัวตนในการรับ-ส่ง พัสดุ เป็นต้น

นอกจากการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงนวัตกรรมใหม่ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนโดยไม่ต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนเพื่อรองรับบริการและธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้นแล้ว สำนักงาน กสทช. ยังมุ่งเน้นส่งต่อความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยการสื่อสารผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งสี่อสิ่งพิมพ์และสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ซึ่งได้รับการตอบรับและประชาชนได้เริ่มรับรู้เกี่ยวกับระบบดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบัน สำนักงาน กสทช. จึงเดินหน้าต่อยอดประชาสัมพันธ์ Mobile ID เพิ่มเติมให้เป็นที่รับรู้ เข้าใจ และเกิดประโยชน์ในการใช้งานต่อไป โดยเชิญชวนให้ประชาชนสมัครใช้งาน Mobile ID พร้อมขจัดข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งาน และได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน สำนักงาน กสทช. จึงได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณาแนะนำการใช้งาน ซึ่งจะช่วยอธิบายขั้นตอนและวิธีการใช้งานการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยรูปแบบบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ Mobile ID ผ่านช่องทางที่ประชาชนสามารถเข้าถึงง่าย ทั่วถึง สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องมากยิ่งขึ้น

สำหรับภาพยนตร์โฆษณาได้อธิบายถึงรูปแบบการยืนยันตัวตนแบบเดิม ๆ ที่ต้องใช้เอกสารหลักฐานในรูปแบบกระดาษ หรือเอกสารหลักฐานฉบับจริง ต้องเข้าคิวเป็นเวลานาน ๆ ในการตรวจสอบเอกสารเพื่อติดต่อหรือทำธุรกรรมกับหน่วยงานต่างๆ แต่ปัญหานี้กำลังจะหมดไป พร้อมเข้าสู่เจเนอเรชั่นใหม่ในการยืนยันตัวตน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราจะไม่ต้องยื่นบัตรประชาชน เอกสาร หรือแม้กระทั่งลายเซ็น และไม่จำเป็นต้องเดินทางอีกต่อไปแล้ว

นอกจากนั้น ภาพยนตร์โฆษณายังแสดงขั้นตอนสมัครใช้บริการ Mobile ID โดยเปลี่ยนบทบาทของเบอร์มือถือ ให้เป็นบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ ทดแทนการพกบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต เพื่อนำไปใช้ติดต่อสถานที่ราชการหรือเอกชนต่อไป

โดยประชาชนทุกคนสามารถเปิดใช้งาน Mobile ID เพียง 3 ขั้นตอนง่ายๆ ได้ที่ศูนย์บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ เพียง “โชว์” แสดงบัตรประชาชนแก่เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้น “แชะ” ด้วยการถ่ายภาพใบหน้า เพื่อลงทะเบียนเปรียบเทียบพิสูจน์ตัวตน เพียงเท่านี้ก็จะ “พร้อมใช้” มือถือเครื่องเดียวแทนบัตรเพื่อทำธุรกรรมอย่างปลอดภัย ทั้งข้อมูลและเงินไม่รั่วไหล และสามารถใช้บริการ Mobile ID ผ่านแอปพลิเคชันของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือกับธุรกรรมของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้แล้ว

สามารถรับชมข้อมูล “Mobile ID” ได้ผ่านทาง https://www.youtube.com/watch?v=qOXuAblgXmg&t=1s หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ E-book http://ebookservicepro.com/showcase/NBTC_MobileIDPop/

ซัมซุง ประกาศวิสัยทัศน์ “Together for Tomorrow” ในงาน CES 2022

posted Jan 6, 2022, 1:05 AM by Maturos Lophong






ซัมซุง ประกาศวิสัยทัศน์ “Together for Tomorrow” ในงาน CES 2022

ซัมซุงตอกย้ำเป้าหมายในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน มอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลและเชื่อมต่อกันมากขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และสร้างประสบการณ์สมาร์ทโฮมอันไร้ที่ติ


นายจองฮี (เจ เอช) ฮาน รองประธาน ซีอีโอ และผู้อำนวยการฝ่ายสร้างประสบการณ์ลูกค้า (DX – Device eXperience) บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด

ลาสเวกัส, สหรัฐอเมริกา (5 มกราคม 2565) – ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ นำโดยนายจองฮี (เจ เอช) ฮาน รองประธาน ซีอีโอ และผู้อำนวยการฝ่ายสร้างประสบการณ์ลูกค้า (DX – Device eXperience) เผยวิสัยทัศน์แห่งอนาคต “Together for Tomorrow” บนเวที Keynote ก่อนงาน CES 2022 เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของซัมซุงในการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการอยู่ร่วมกัน ผ่านการมอบประสบการณ์เฉพาะตัวที่ออกแบบได้ซึ่งสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งของผู้บริโภค และนวัตกรรมที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคมและโลก





วิสัยทัศน์ “Together for Tomorrow” ของซัมซุง ได้ส่งต่อแรงขับเคลื่อนให้ทุกคนร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกแก่โลกเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเร่งด่วน โดย Keynote ดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายของซัมซุงในการผลักดันวิสัยทัศน์ให้เกิดขึ้นจริง ด้วยการเปิดตัวหลากหลายนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือครั้งสำคัญกับพันธมิตรชั้นนำ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่ปรับแต่งได้และเชื่อมต่อกันอย่างลื่นไหล

นายจองฮี (เจ เอช) ฮาน กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับทุกคนเพื่อพานวัตกรรมสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลกอนาคต โดยการพัฒนาก้าวสำคัญนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์ความยั่งยืนสู่ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคจะได้สัมผัส เพื่อส่งมอบไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนแก่ทุกคน”

สร้างอนาคตที่ยั่งยืน

หัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์เพื่ออนาคตนี้ถูกต่อยอดขึ้นจากสิ่งที่ซัมซุงเรียกว่า “ความยั่งยืนในทุกวัน” หรือ “Everyday Sustainability” ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ซัมซุงสร้างสรรค์นวัตกรรมโดยมีความยั่งยืนเป็นที่ตั้ง และ
มุ่งหน้าสานต่อวิสัยทัศน์ดังกล่าวด้วยกระบวนการผลิตรูปแบบใหม่ที่มีผลกระทบต่ำ บรรจุภัณฑ์ที่ลดการสร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และประสบการณ์ของลูกค้าที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดการกับผลิตภัณฑ์เมื่อสิ้นสุดวงจรการใช้งาน





ความพยายามของซัมซุงในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการผลิต ได้รับการยกย่องจาก Carbon Trust ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่ให้การรับรองด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยในปีที่ผ่านมา ชิปหน่วยความจำของซัมซุงได้ผ่านการรับรองจาก Carbon Trust ว่าสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ราว 700,000 ตัน

ไม่เพียงแค่เซมิคอนดัคเตอร์เท่านั้น แต่กระบวนการเพื่อความยั่งยืนยังขยายรวมไปถึงการใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตผลิตภัณฑ์อีกด้วย และเพื่อเป็นการสร้างความยั่งยืนในทุกวัน กลุ่มธุรกิจภาพและเสียงของซัมซุงจึงได้ตั้งเป้าการใช้พลาสติกรีไซเคิลให้มากขึ้นกว่าปี 2021 ถึง 30 เท่า นอกจากนี้ ซัมซุงยังเผยถึงแผนที่จะขยายการใช้วัสดุรีไซเคิลกับสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าใน 3 ปีข้างหน้าอีกด้วย

ในปี 2021 กล่องบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดของทีวีซัมซุงนั้นผลิตจากวัสดุรีไซเคิล และในปีนี้ ซัมซุงได้เผยว่าจะใช้วัสดุรีไซเคิลกับชิ้นส่วนบรรจุภัณฑ์ภายในกล่อง ไม่ว่าจะเป็น สไตโรโฟม ฐานบรรจุ และถุงพลาสติก ด้วยเช่นกัน พร้อมนี้ ทางซัมซุงยังได้ประกาศต่อยอดโครงการ Eco-Packaging program ที่เปลี่ยนโฉมกล่องกระดาษแข็งของทีวี ให้กลายเป็นสิ่งของสุดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นบ้านแมว โต๊ะข้าง และเฟอร์นิเจอร์ที่มีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย โดยโครงการดังกล่าวจะถูกนำมาใช้กับบรรจุภัณฑ์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องดูดฝุ่น เตาอบไมโครเวฟ เครื่องฟอกอากาศ และอีกมากมายในอนาคต

ซัมซุงมุ่งสร้างประสบการณ์ความยั่งยืนที่ผู้บริโภคสามารถสัมผัสได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้ทุกคนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกร่วมกันเพื่ออนาคต ยกตัวอย่างเช่น การอัพเกรดนวัตกรรมรีโมทคอนโทรล SolarCell ซึ่งช่วยกำจัดขยะจากแบตเตอรี่ด้วยแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งไว้ในตัว และสามารถทำการชาร์จได้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน มาเป็นรีโมท SolarCell เวอร์ชันใหม่ซึ่งใช้พลังงานกระแสไฟฟ้าจากคลื่นความถี่วิทยุที่มีอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัว เช่น เราเตอร์ Wi-Fi[1]


“ยิ่งไปกว่านั้น นวัตกรรมดังกล่าวจะถูกนำไปต่อยอดพัฒนาเพื่อใช้กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งทีวีและเครื่องใช้ไฟฟ้าของซัมซุง เช่น เพื่อให้ตอบรับกับเป้าหมายในการกำจัดแบตเตอรี่มากกว่า 200 ล้านก้อนจากสถานที่ฝังกลบ[2] ซึ่งเทียบเท่าระยะทางจากลาสเวกัสถึงเกาหลีใต้เมื่อนำมาวางเรียงกันเลยทีเดียว” นายฮาน กล่าว

นอกจากนี้ ภายในปี 2025 ซัมซุงยังตั้งเป้าพัฒนาอุปกรณ์ชาร์จทีวีและสมาร์ทโฟนที่ลดการใช้พลังงานในโหมดสแตนด์บายลงให้ได้มากที่สุดหรือแทบจะไม่ใช้เลย เพื่อลดการใช้พลังงานเมื่อไม่ได้ใช้งาน

ขยะอิเลคโทรนิคส์ หรือ E-waste ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมอิเลคโทรนิคส์ ซึ่งเป็นเหตุผลให้ซัมซุงได้รวบรวมขยะอิเลคโทรนิคส์กว่า 5 ล้านตันตั้งแต่ปี 2009 โดยเมื่อปีที่ผ่านมา ซัมซุงได้นำเสนอโครงการ Galaxy for the Planet สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มความยั่งยืนที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเร่งแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้ เพื่อลดผลกระทบจากอุปกรณ์ต่อสิ่งแวดล้อมตลอดอายุการใช้งาน

นายฮาน กล่าวว่า “นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่เราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยลำพัง เพราะเราเชื่อมั่นว่าการเปิดกว้างทางนวัตกรรมและความร่วมมือซึ่งกันและกัน คือหัวใจสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปกป้องโลกของเรา” และด้วยเหตุนี้ ซัมซุงจึงได้เผยโฉมเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นั่นก็คือ การพัฒนารีโมท SolarCell แบบเปิด เพื่อสามารถใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตได้

การตัดสินใจของซัมซุงในการนำเสนอเทคโนโลยีแบบเปิดกว้างดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและตอกย้ำเป้าหมายความยั่งยืนในทุกวัน ซึ่งรวมถึงการประกาศความร่วมมือกับ Patagonia แบรนด์
เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์กีฬาระดับโลกในงาน Keynote ที่แสดงให้เห็นถึงการมุ่งสู่เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกันของ 2 องค์กรที่มาจากต่างวงการอย่างสิ้นเชิง นำมาซึ่งการออกแบบโซลูชันเพื่อเร่งแก้ปัญหาการปนเปื้อนของอนุภาคพลาสติกในสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมเครื่องซักผ้าของซัมซุง ที่สามารถยับยั้งไมโครพลาสติกเข้าสู่แหล่งน้ำตั้งแต่ขั้นตอนการซักได้


นายวินเซนต์ สแตนลีย์ ผู้อำนวยการด้านปรัชญาแห่ง Patagonia กล่าวว่า “นี่คือปัญหาที่รุนแรง และเราไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง” โดยนายสแตนลีย์ได้กล่าวยกย่องการอุทิศตนของวิศวกรจากซัมซุง ผ่านการบรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานว่า “เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของการทำงานร่วมกัน ซึ่งเราทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับมาสมบูรณ์”

“เรามีความตื่นเต้นกับการร่วมมือกันครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม งานของเราจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ เราจะมุ่งหน้าค้นหาและร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ ต่อไป โดยมีเป้าหมายในการผลักดันและเร่งแก้ไขความท้าทายที่โลกของเรากำลังเผชิญอยู่” นายฮาน กล่าวเสริม

มอบการออกแบบประสบการณ์ใช้งานเฉพาะตัว

นอกจากความมุ่งมั่นเพื่อการพัฒนาสู่ความยั่งยืน ซัมซุงยังทุ่มเทค้นหาแนวทางใหม่ๆ ในการนำเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค จากความเข้าใจว่าทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและต้องการอุปกรณ์ที่ออกแบบมาให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ซัมซุงจึงเดินหน้าพัฒนาเพื่อพลิกนิยามของความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันและเทคโนโลยี การคิดค้นนวัตกรรมโดยคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นอันดับหนึ่งจึงเป็นหลักสำคัญของวิสัยทัศน์ “Together for tomorrow”


The Freestyle (เดอะ ฟรีสไตล์) อุปกรณ์เพื่อความบันเทิงในรูปแบบของหน้าจอขนาดพกพาน้ำหนักเบา

ผลิตภัณฑ์จอภาพและแพลตฟอร์มที่ซัมซุงได้เปิดตัวในเวทีนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการสร้าง “Screens Everywhere, Screen for All” ตามที่นายฮาน ได้เคยประกาศไว้ในงาน CES 2020 นำโดย The Freestyle (เดอะ
ฟรีสไตล์) อุปกรณ์เพื่อความบันเทิงในรูปแบบของหน้าจอขนาดพกพาน้ำหนักเบา ที่สามารถสร้างประสบการณ์รับชมระดับโรงภาพยนตร์ได้ทุกที่ โดยมีระบบเสียง AI, แอปพลิเคชันสตรีมมิ่งในตัว, และสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ของสมาร์ททีวีอีกมากมาย ทำให้ The Freestyle สามารถใช้งานได้ทุกที่และฉายหน้าจอได้ใหญ่สูงสุดถึง 100 นิ้ว

นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัว Gaming Hub แพลตฟอร์มที่รวบรวมทั้งบริการเพื่อค้นหาเกม เล่นเกมจากคลาวด์ และเครื่องเกมคอนโซล ไว้ในที่เดียวแบบ all-in-one โดยมีกำหนดจะเปิดให้ใช้บริการบนซัมซุงสมาร์ททีวีและมอนิเตอร์รุ่นปี 2022 ไม่หมดเพียงเท่านี้ ซัมซุงยังนำเสนอจอมอนิเตอร์ Odyssey Ark ขนาด 55 นิ้ว มาพร้อมกับดีไซน์จอโค้งที่จะมอบอีกขั้นของประสบการณ์เกมมิ่งด้วยฟีเจอร์ multi-view ที่ผู้ใช้สามารถเล่นเกม วิดีโอคอลกับเพื่อน และดูวิดีโอแนะนำการเล่นไปพร้อมกันได้

เมื่อกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบเพื่อความลงตัวกับที่อยู่อาศัย คงไม่สามารถมองข้ามไลน์อัพเครื่องใช้ไฟฟ้า Bespoke ไปได้ โดยซัมซุงได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น Family Hub (แฟมิลี่ ฮับ), ตู้เย็นแบบ 3 ประตู และตู้เย็นแบบ 4 ประตู รวมถึงเครื่องล้างจาน, เตาประกอบอาหาร และไมโครเวฟ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว Bespoke Jet™ vacuum และ Bespoke Washer กับ Dryer เพื่อขยายไลน์อัพผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกห้องภายในบ้าน ให้ผู้ใช้สามารถออกแบบพื้นที่การใช้ชีวิตได้ตามสไตล์และความต้องการ


ซัมซุงไม่หยุดพัฒนาเพื่อมองหาวิธีการปรับเปลี่ยนดีไซน์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้ประโยชน์จากอุปกรณ์มากขึ้น จึงเป็นที่มาของ #YouMake Project หรือโครงการที่มอบอิสระให้ผู้ใช้ได้เลือกและออกแบบผลิตภัณฑ์ตามความต้องการในการใช้ชีวิตประจำวัน และตามที่ได้ประกาศบนเวที Keynote ซัมซุงวางแผนจะขยายไลน์อัพ Bespoke ให้ครอบคลุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน สมาร์ทโฟน และผลิตภัณฑ์จอภาพ เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์ Bespoke ได้มากขึ้น

ก้าวสู่ยุคแห่งการเชื่อมต่ออันไร้ที่ติ

หัวใจหลักของผลิตภัณฑ์ของซัมซุงคือการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์แบบ เพราะการสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมตามวิสัยทัศน์ “Together for tomorrow” นั้นไม่หยุดแค่เพียงการปรับแต่งประสบการณ์และความยั่งยืนเท่านั้น ซึ่งซัมซุงได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการก้าวสู่ยุคแห่งการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง โดยเน้นย้ำถึงการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ตลอดจนความสำคัญของผลิตภัณฑ์เจเนอเรชันถัดไป

แอปพลิเคชัน Samsung Home Hub ใหม่ล่าสุดจากซัมซุง ที่ได้เปิดตัวครั้งแรกในงาน CES จะยกระดับประสบการณ์การเชื่อมต่อภายในบ้านด้วยบริการ SmartThings ที่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยระบบ AI เพื่อการควบคุมบ้านทั้งหลังด้วยความง่ายดาย Samsung Home Hub คือแพลตฟอร์มที่รวมบริการ SmartThings ไว้ถึง 6 อย่าง ทำให้ผู้ใช้สามารถ
สั่งการสมาร์ทโฮมได้บนแอปพลิเคชันเดียวและจัดการกับงานบ้านต่างๆ ได้ด้วยปลายนิ้ว

ซัมซุงยังได้ประกาศจะทำให้ SmartThings เป็นฟีเจอร์ที่ติดตั้งมาพร้อมใช้งานในผลิตภัณฑ์ทีวีปี 2022, สมาร์ทมอนิเตอร์ และตู้เย็น Family Hub เพื่อการเชื่อมต่อที่ดีขึ้นระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้า ช่วยสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เข้าถึงได้มากขึ้นอย่างไร้ที่ติสำหรับทุกคน

นอกจากนี้ ซัมซุงยังประกาศบทบาทในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งของ Home Connectivity Alliance (HCA) หรือองค์กรที่รวบรวมผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสมาร์ทโฮมไว้ด้วยกัน โดยมุ่งเน้นการสร้างรูปแบบการใช้ชีวิตอัจฉริยะให้ผู้บริโภคโดย
ไม่คำนึงถึงแบรนด์ และมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างดีไวซ์จากแบรนด์ต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และเพื่อเพิ่มความความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และบริการ


“ในฐานะพันธมิตรระดับโลกของผู้ผลิตเครื่องใช้ในบ้านอัจฉริยะ สมาชิก HCA เชื่อว่าการเชื่อมต่อและเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยพัฒนาประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น สะท้อนตัวตนของผู้บริโภคได้มากขึ้น และชาญฉลาดอย่างแท้จริงสำหรับผู้บริโภค” แคทเธอรีน ชิน รองประธานฝ่ายประสบการณ์ลูกค้า บริษัท Trane Technologies กล่าว “องค์กร HCA ขอเชิญผู้ผลิตระดับโลกที่มีวิสัยทัศน์คล้ายกันในด้านการผลักดันประสิทธิภาพ การทำงานร่วมกัน และนวัตกรรม มาทำงานร่วมกัน”

การกล่าววิสัยทัศน์ของซัมซุงในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์นวัตกรรมต่อไป โดยความมุ่งมั่นนี้ไม่เพียงสะท้อนผ่านเทคโนโลยีของซัมซุงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความทุ่มเทในการสร้างโครงการต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้ร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พวกเขาอยากเห็น ด้วยการพัฒนาและสร้างทักษะเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในอนาคต เช่น โครงการ Solve for Tomorrow และ Samsung Innovation Campus ที่ช่วยสานฝันของเยาวชนให้เป็นจริง

“วันนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า โครงการส่งเสริมคนรุ่นใหม่ของซัมซุง มีผู้เข้าร่วมแล้วกว่า 21 ล้านคน ตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งการช่วยให้ผู้คนได้บรรลุเป้าหมายไกลกว่าที่ฝันไว้ การปกป้องโลกเพื่อให้คนรุ่นหลังได้สัมผัส
ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และการสร้างนวัตกรรมเพื่อความเปลี่ยนแปลง คือการสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมของซัมซุง” นายฮาน กล่าว

ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงรูปภาพและวิดีโอของผลิตภัณฑ์ใหม่จากงาน CES 2022 ได้ทาง news.samsung.com/global/ces-2022

ซัมซุงรุกตลาด SME เมืองไทย เปิดตัว Samsung Business Experience Store

posted Dec 22, 2021, 7:52 PM by Maturos Lophong


ซัมซุงรุกตลาด SME เมืองไทย เปิดตัว Samsung Business Experience Store

แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เซ็นทรัลเวิลด์




นางสาวสัณห์ฤทัย ดุษฎีวิวัฒน์ หัวหน้าฝ่ายขายกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที

บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด






กรุงเทพฯ (22 ธันวาคม 2564) – ซัมซุง เดินหน้าเจาะตลาดกลุ่มธุรกิจองค์กร ยึดทำเลใจกลางเมือง ผุด Samsung Business Experience Store แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อเป็นศูนย์กลางจัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยเฉพาะ ที่มาพร้อมกับการบริการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงบริการหลังการขายอย่างครบครัน สมฐานะความเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดลูกค้าองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างแท้จริง



นางสาวสัณห์ฤทัย ดุษฎีวิวัฒน์ หัวหน้าฝ่ายขายกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ถือว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยจากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า ในปี 2564 มีจำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้น 3,134,442 ราย หรือนับเป็นมากกว่าร้อยละ 99.54 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมด รวมถึงมีการจ้างงานสูงถึง 12,714,916 คน หรือร้อยละ 72.94 ของอัตราการจ้างงานโดยรวม[1]





ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว (Digital Disruption) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการ SME เล็งเห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยในการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคพร้อมสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทั้งในด้านสินค้าและบริการ









นางสาวสัณห์ฤทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันเรากำลังเข้าสู่ยุค Next Normal อย่างเต็มตัว ผู้ประกอบการจำนวนมากได้ตัดสินใจลงทุนเพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ด้วยเหตุนี้ ซัมซุง ในฐานะแบรนด์ที่นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมาพร้อมกับโซลูชันด้านการจัดการและความปลอดภัยแบบครบวงจร จึงได้เตรียมความพร้อมเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ ด้วยการเปิด Samsung Business Experience Store แห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงยังเป็นแห่งที่สองของทวีปเอเชีย และแห่งที่สามของโลก นอกเหนือจากประเทศอังกฤษ และตุรกีอีกด้วย”





“Samsung Business Experience Store จะจัดแสดงพร้อมจำหน่ายสมาร์ทดีไวซ์และโซลูชันสำหรับธุรกิจ SME โดยมุ่งเน้นที่ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจด้านบริการ และธุรกิจที่ต้องรองรับการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Working) ซึ่งสโตร์แห่งนี้จะทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ที่สนใจได้เห็นศักยภาพของการใช้งานเทคโนโลยี ที่จะมาช่วยให้การทำงานเป็นไปได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และเป็นระบบได้อย่างชัดเจนมากขึ้นก่อนทำการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์รูปแบบธุรกิจได้อย่างดีที่สุด” นางสาวสัณห์ฤทัย กล่าวปิดท้าย


Samsung Business Experience Store ตั้งอยู่เป็นส่วนหนึ่งของ Samsung Experience Store ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยแบ่งการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชันเป็นทั้งหมด 3 โซน ได้แก่



โซนที่ 1: ผลิตภัณฑ์และโซลูชันสำหรับธุรกิจรูปแบบไฮบริด ภายใต้คอนเซปต์ ‘The day of Rugged Journey’ ที่จะนำหลากหลายผลิตภัณฑ์ในตระกูล Rugged Device ไม่ว่าจะเป็น XCover 5, XCover Pro, Tab Active 3, Tab Active pro ที่มีคุณสมบัติพิเศษด้านความทนทาน นวัตกรรม มาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง และแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างสามารถเชื่อมต่อกับบริการของพาร์ทเนอร์ได้มาจัดแสดงไว้ในที่เดียว



ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานแบบไฮบริดที่เติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Retail) ธุรกิจธนาคาร (Banking FSI) ธุรกิจด้านสุขภาพ (Health Care) เช่น Wellness Center และ telehealth ธุรกิจขนส่ง (Logistics) และธุรกิจด้านการศึกษา (Education) ผ่านการทำงานร่วมกับฟีเจอร์และโซลูชัน อย่าง Microsoft Office Suite บน Samsung DeX ที่จะทำให้เครื่องมือการทำงานต่างๆ อาทิ Microsoft Office, Microsoft Teams หรือ Microsoft365 พร้อมใช้งานทั้งบนสมาร์ทดีไวซ์ รวมถึงเชื่อมต่อกับหน้าจอเพื่อการใช้งานแบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะทำให้ทุกการทำงานเป็นไปอย่างลื่นไหลไร้รอยต่อ


โซนที่ 2: ผลิตภัณฑ์และโซลูชันสำหรับจัดการธุรกิจด้านร้านอาหาร ที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Samsung Galaxy Tab Active3 ผลิตภัณฑ์สมาร์ทแท็บเล็ต Rugged Device ที่มีจุดเด่นในด้านประสิทธิภาพการทำงานอันทรงพลัง และความแข็งแรงทนทาน พร้อมใช้งานในทุกสภาพแวดล้อม กับ Ocha แอปพลิเคชันบริหารจัดการร้านอาหารแบบ Point Of Sale (POS) อันดับ 1 ในประเทศไทย เพื่อให้บริการด้านระบบการขายหน้าร้าน ที่จะมีการเก็บข้อมูล
การขาย สต็อกสินค้า และข้อมูลการบันทึกค่าใช้จ่าย เมื่อมีการขายสินค้าและบริการ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารสามารถจัดการร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


โซนที่ 3: ผลิตภัณฑ์และโซลูชันสำหรับธุรกิจด้านบริการ ด้วย Smart Queue Solution ระบบจัดการคิวจาก P&P Electronics ที่พร้อมตอบสนองความต้องการ และรองรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ร้านค้าขนาดเล็ก องค์กรขนาดใหญ่ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งโซลูชันนี้จะทำงานร่วมกับ Samsung Galaxy Tab Active3 หรือ Samsung Tab Active Pro เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการเวลาได้อย่างเป็นระบบ การจัดการสถิติข้อมูลการเข้ารับบริการของลูกค้าอย่างละเอียดรวดเร็ว พร้อมทำงานได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้เกิดความยืดหยุ่นและรองรับกระบวนการการทำงานได้หลากหลายรูปแบบ


พบกับประสบการณ์ใหม่ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับกลุ่มธุรกิจองค์กรได้ที่ Samsung Business Experience Store ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 4 โซน Atrium ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-689-3277

1-10 of 130